ข้ามไปยังเนื้อหา

ข้ามไปยังสารบัญ

บทสอง

คัมภีร์ไบเบิล—หนังสือที่มาจากพระเจ้า

คัมภีร์ไบเบิล—หนังสือที่มาจากพระเจ้า
  • คัมภีร์ไบเบิลต่างจากหนังสืออื่นในทางใดบ้าง?

  • คัมภีร์ไบเบิลจะช่วยคุณรับมือกับปัญหาส่วนตัวได้อย่างไร?

  • ทำไมคุณจึงเชื่อถือคำพยากรณ์ที่บันทึกในคัมภีร์ไบเบิลได้?

1, 2. ในทางใดบ้างที่คัมภีร์ไบเบิลเป็นของขวัญจากพระเจ้าซึ่งทำให้เราตื่นเต้นยินดี?

คุณจำตอนที่ได้รับของขวัญชิ้นพิเศษจากเพื่อนรักคนหนึ่งได้ไหม? ดูเหมือนว่าการได้รับของขวัญเช่นนั้นไม่เพียงทำให้ตื่นเต้นเท่านั้น แต่ยังทำให้คุณรู้สึกเบิกบานยินดีด้วย. ที่แท้แล้ว ของขวัญบอกให้คุณรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับผู้ให้ นั่นคือเขาถือว่าการได้เป็นเพื่อนกับคุณเป็นสิ่งที่มีค่ามาก. เมื่อเพื่อนให้ของขวัญที่แสดงว่าเขาคิดถึงคุณ คุณคงได้ขอบคุณเขาอย่างแน่นอน.

2 คัมภีร์ไบเบิลเป็นของขวัญที่มาจากพระเจ้า ผู้ซึ่งเราสามารถขอบพระคุณได้อย่างแท้จริง. หนังสือที่ไม่มีใดเหมือนเล่มนี้เปิดเผยสิ่งต่าง ๆ ที่เราจะไม่มีวันรู้ได้จากแหล่งอื่น. ตัวอย่างเช่น คัมภีร์ไบเบิลบอกเราเรื่องการสร้างท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว, แผ่นดินโลก, รวมทั้งมนุษย์ชายหญิงคู่แรก. พระคัมภีร์มีหลักการที่เชื่อถือได้ซึ่งจะช่วยเรารับมือกับปัญหาและความกังวลต่าง ๆ ในชีวิต. พระคัมภีร์อธิบายวิธีที่พระเจ้าจะทำให้พระประสงค์ของพระองค์สำเร็จและทำให้แผ่นดินโลกมีสภาพดีขึ้น. คัมภีร์ไบเบิลช่างเป็นของขวัญที่ทำให้ผู้รับตื่นเต้นยินดีสักเพียงใด!

3. การที่พระยะโฮวาจัดให้มีคัมภีร์ไบเบิลบอกอะไรเราเกี่ยวกับพระองค์ และทำไมเรื่องนี้ทำให้อบอุ่นใจ?

3 คัมภีร์ไบเบิลยังเป็นของขวัญที่ทำให้รู้สึกอบอุ่นใจด้วย เพราะเปิดเผยอะไรบางอย่างเกี่ยวกับผู้ให้ คือพระยะโฮวาพระเจ้า. การที่พระองค์จัดให้มีหนังสือดังกล่าวไว้เป็นข้อพิสูจน์ว่าพระองค์ต้องการให้เรารู้จักพระองค์ดี. ที่จริง คัมภีร์ไบเบิลจะช่วยคุณให้เข้าใกล้พระยะโฮวาได้.

4. อะไรทำให้คุณประทับใจเกี่ยวกับการจำหน่ายจ่ายแจกคัมภีร์ไบเบิล?

4 หากคุณมีพระคัมภีร์เล่มหนึ่ง นั่นไม่ใช่เรื่องแปลก. มีการจัดพิมพ์คัมภีร์ไบเบิลทั้งเล่มหรือเฉพาะบางส่วนในภาษาต่าง ๆ มากกว่า 2,300 ภาษา และด้วยเหตุนี้ประชากรโลกมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์จึงหาอ่านได้. โดยเฉลี่ยแล้ว มีการจำหน่ายจ่ายแจกพระคัมภีร์มากกว่าหนึ่งล้านเล่มในแต่ละสัปดาห์! มีการผลิตคัมภีร์ไบเบิลทั้งเล่มหรือเฉพาะบางส่วนเป็นจำนวนหลายพันล้านเล่ม. แน่นอน ไม่มีหนังสืออื่นใดเหมือนคัมภีร์ไบเบิล.

“พระคัมภีร์บริสุทธิ์ฉบับแปลโลกใหม่” มีให้อ่านได้ในหลายภาษา

5. คัมภีร์ไบเบิล “มีขึ้นโดยการดลใจจากพระเจ้า” โดยวิธีใด?

5 นอกจากนี้ คัมภีร์ไบเบิล “มีขึ้นโดยการดลใจจากพระเจ้า.” (2 ติโมเธียว 3:16) โดยวิธีใด? คัมภีร์ไบเบิลเองให้คำตอบว่า “มนุษย์พูดตามที่พระเจ้าทรงประสงค์ให้พูดโดยได้รับการทรงนำจากพระวิญญาณบริสุทธิ์.” (2 เปโตร 1:21) เพื่อเป็นตัวอย่าง ผู้จัดการอาจให้เลขานุการเขียนจดหมายฉบับหนึ่ง. ข้อความในจดหมายนั้นเป็นความคิดและคำสั่งของผู้จัดการ. ฉะนั้น จริง ๆ แล้วนี่จึงเป็นจดหมายของเขา ไม่ใช่ของเลขานุการ. ในลักษณะคล้ายกัน คัมภีร์ไบเบิลมีข่าวสารของพระเจ้า ไม่ใช่ของมนุษย์ที่เป็นผู้เขียน. ด้วยเหตุนี้ พระคัมภีร์ทั้งเล่มจึงเป็น “พระคำของพระเจ้า” อย่างแท้จริง.—1 เทสซาโลนิเก 2:13.

สอดคล้องกันและถูกต้อง

6, 7. เหตุใดความสอดคล้องกันของเนื้อหาในคัมภีร์ไบเบิลจึงน่าสังเกตเป็นพิเศษ?

6 คัมภีร์ไบเบิลเขียนขึ้นในช่วงเวลามากกว่า 1,600 ปี. ผู้เขียนคัมภีร์ไบเบิลมีชีวิตอยู่ในเวลาที่ต่างกันและมาจากหลายฐานะอาชีพ. บางคนเป็นชาวนา, ชาวประมง, และคนเลี้ยงสัตว์. ส่วนบางคนเป็นผู้พยากรณ์, ผู้พิพากษา, รวมทั้งกษัตริย์. ลูกาผู้เขียนพระธรรมกิตติคุณเป็นนายแพทย์. แม้ว่าผู้เขียนมีพื้นเพแตกต่างกัน แต่คัมภีร์ไบเบิลก็สอดคล้องกันตั้งแต่ต้นจนจบ. *

7 พระธรรมเล่มแรกของคัมภีร์ไบเบิลบอกเราถึงวิธีที่ปัญหาต่าง ๆ ของมนุษย์เริ่มต้นขึ้น. พระธรรมเล่มสุดท้ายแสดงให้เห็นว่าแผ่นดินโลกทั้งสิ้นจะกลายเป็นอุทยานหรือสวนธรรมชาติ. เนื้อหาทั้งหมดในคัมภีร์ไบเบิลครอบคลุมประวัติศาสตร์หลายพันปีและช่วยเราไม่ทางใดก็ทางหนึ่งให้เข้าใจพระประสงค์ของพระเจ้าและวิธีที่พระประสงค์นั้นจะสำเร็จ. ความสอดคล้องกันที่มีอยู่ในคัมภีร์ไบเบิลเป็นเรื่องน่าประทับใจ แต่นั่นคือสิ่งที่เราคงจะคาดหมายจากหนังสือที่มาจากพระเจ้า.

8. จงยกตัวอย่างเพื่อแสดงว่าคัมภีร์ไบเบิลถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์.

8 คัมภีร์ไบเบิลถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์. คัมภีร์ไบเบิลมีความรู้ที่ล้ำสมัยด้วยซ้ำ. ตัวอย่างเช่น พระธรรมเลวีติโกมีกฎหมายสำหรับชาติอิสราเอลโบราณในเรื่องการกักตัวไว้ไม่ให้แพร่เชื้อโรคและเรื่องสุขอนามัย ขณะที่ชาติต่าง ๆ ซึ่งอยู่โดยรอบไม่รู้อะไรเลยในเรื่องเช่นนั้น. ตอนที่มีการเข้าใจผิด ๆ เรื่องรูปทรงของโลกคัมภีร์ไบเบิลกล่าวถึงโลกว่าเป็นวงกลมหรือทรงกลม. (ยะซายา 40:22) คัมภีร์ไบเบิลกล่าวอย่างถูกต้องว่าโลก “ห้อยอยู่โดยมิได้ติดกับอะไร.” (โยบ 26:7) แน่นอน คัมภีร์ไบเบิลไม่ใช่ตำราวิทยาศาสตร์. แต่เมื่อพูดถึงเรื่องวิทยาศาสตร์ คัมภีร์ไบเบิลนับว่าถูกต้อง. นี่เป็นสิ่งที่เราคงจะคาดหมายจากหนังสือที่มาจากพระเจ้ามิใช่หรือ?

9. (ก) คัมภีร์ไบเบิลปรากฏว่าถูกต้องทางประวัติศาสตร์และเชื่อถือได้ในทางใดบ้าง? (ข) ความซื่อสัตย์ของผู้เขียนบอกให้คุณทราบอะไรเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิล?

9 คัมภีร์ไบเบิลยังถูกต้องทางประวัติศาสตร์และเชื่อถือได้. เรื่องราวในคัมภีร์ไบเบิลให้ข้อมูลที่เฉพาะเจาะจง. เรื่องเหล่านั้นไม่เพียงแต่บอกชื่อของบุคคลเท่านั้น แต่ยังพูดถึงบรรพบุรุษของพวกเขาด้วย. * ตรงกันข้ามกับนักประวัติศาสตร์ฝ่ายโลกซึ่งบ่อยครั้งไม่ได้พูดถึงความพ่ายแพ้ของชาติตน ผู้เขียนคัมภีร์ไบเบิลเป็นคนซื่อสัตย์ ถึงกับบันทึกความบกพร่องของตัวเองหรือของชาติตนด้วยซ้ำ. ตัวอย่างเช่น ในพระธรรมอาฤธโม โมเซซึ่งเป็นผู้เขียนยอมรับว่าท่านได้ทำผิดพลาดร้ายแรงซึ่งทำให้ตัวเองถูกว่ากล่าวอย่างรุนแรง. (อาฤธโม 20:2-12) ความซื่อสัตย์เช่นนี้หาได้ยากในบันทึกทางประวัติศาสตร์อื่น ๆ แต่พบได้ในคัมภีร์ไบเบิลเพราะเป็นหนังสือที่มาจากพระเจ้า.

หนังสือแห่งสติปัญญาที่ใช้ได้จริง

10. เพราะเหตุใดจึงไม่น่าแปลกใจที่คัมภีร์ไบเบิลเป็นหนังสือที่ใช้ได้จริง?

10 เนื่องจากคัมภีร์ไบเบิลมีขึ้นโดยการดลใจจากพระเจ้า จึงเป็น “ประโยชน์เพื่อการสอน การว่ากล่าว การจัดการเรื่องราวให้ถูกต้อง.” (2 ติโมเธียว 3:16) ใช่แล้ว คัมภีร์ไบเบิลเป็นหนังสือที่ใช้ได้จริง. คัมภีร์ไบเบิลแสดงให้เห็นความเข้าใจในธรรมชาติของมนุษย์อย่างลึกซึ้ง. ไม่น่าแปลกใจที่เป็นเช่นนี้ เพราะพระยะโฮวาพระเจ้าผู้ประพันธ์คัมภีร์ไบเบิลเป็นพระผู้สร้างนั่นเอง! พระองค์ทรงเข้าใจความคิดและอารมณ์ความรู้สึกของเราดียิ่งกว่าตัวเราเอง. นอกจากนี้ พระยะโฮวาทรงทราบว่าเราจำเป็นต้องมีสิ่งใดเพื่อจะมีความสุข. พระองค์ยังทราบด้วยว่าเราควรหลีกเลี่ยงแนวทางชีวิตแบบใด.

11, 12. (ก) พระเยซูพิจารณาเรื่องอะไรบ้างในคำเทศน์บนภูเขา? (ข) ในคัมภีร์ไบเบิลมีการพิจารณาเรื่องอื่นอะไรบ้างที่ใช้ได้จริง และทำไมคำแนะนำของพระคัมภีร์จึงใช้ได้ทุกยุคทุกสมัย?

11 ขอพิจารณาคำตรัสของพระเยซูที่เรียกว่าคำเทศน์บนภูเขา ตามที่บันทึกในมัดธายบท 5 ถึง 7. ในคำสอนที่เป็นผลงานชิ้นเอกนี้ พระเยซูตรัสหลายเรื่อง รวมทั้งวิธีพบความสุขแท้, วิธีจัดการกับความขัดแย้ง, วิธีอธิษฐาน, และวิธีที่จะมีทัศนะที่ถูกต้องต่อวัตถุสิ่งของ. คำตรัสของพระเยซูมีพลังและใช้ได้จริงในทุกวันนี้เช่นเดียวกับตอนที่พระองค์ตรัสถ้อยคำดังกล่าว.

12 หลักการในคัมภีร์ไบเบิลบางข้อเกี่ยวข้องกับชีวิตครอบครัว, นิสัยในการทำงาน, และความสัมพันธ์กับคนอื่น. หลักการในคัมภีร์ไบเบิลนำมาใช้ได้กับทุกคน และคำแนะนำของพระคัมภีร์ก็เป็นประโยชน์เสมอ. สติปัญญาที่พบในคัมภีร์ไบเบิลได้รับการสรุปด้วยคำตรัสของพระเจ้าผ่านทางผู้พยากรณ์ยะซายาห์ที่ว่า “เราคือยะโฮวา, พระเจ้าของเจ้าผู้สั่งสอนเจ้า, เพื่อประโยชน์แก่ตัวของเจ้าเอง.”—ยะซายา 48:17.

หนังสือแห่งคำพยากรณ์

ยะซายาผู้เขียนคัมภีร์ไบเบิลได้บอกล่วงหน้าถึงความล่มจมของบาบิโลน

13. พระยะโฮวาดลใจผู้พยากรณ์ยะซายาห์ให้บันทึกรายละเอียดอะไรเกี่ยวกับบาบิโลน?

13 คัมภีร์ไบเบิลมีคำพยากรณ์มากมายซึ่งหลายข้อได้สำเร็จเป็นจริงแล้ว. ขอพิจารณาตัวอย่างหนึ่ง. พระยะโฮวาได้บอกล่วงหน้าโดยทางผู้พยากรณ์ยะซายาห์ ซึ่งมีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่แปดก่อนสากลศักราชว่า เมืองบาบิโลนจะถูกทำลาย. (ยะซายา 13:19; 14:22, 23) มีการให้รายละเอียดว่ามีการพิชิตเมืองนี้อย่างไร. กองทัพที่บุกรุกจะทำให้แม่น้ำของบาบิโลนแห้งไปแล้วเดินทัพเข้าเมืองโดยไม่มีการสู้รบ. ไม่เพียงแค่นั้น คำพยากรณ์ของยะซายาห์ถึงกับบอกชื่อของกษัตริย์ที่จะเอาชนะบาบิโลน นั่นคือไซรัส.—ยะซายา 44:27–45:2.

14, 15. รายละเอียดบางอย่างในคำพยากรณ์ของยะซายาห์เกี่ยวกับบาบิโลนได้สำเร็จเป็นจริงอย่างไร?

14 ราว ๆ 200 ปีต่อมา—ในคืนวันที่ 5 ตุลาคม ปี 539 ก่อนสากลศักราช—กองทัพหนึ่งได้มาตั้งค่ายอยู่ใกล้เมืองบาบิโลน. ใครเป็นผู้บัญชาการกองทัพนั้น? กษัตริย์เปอร์เซียที่ชื่อไซรัส. โดยวิธีนี้ จึงได้มีการเตรียมทางไว้สำหรับความสำเร็จเป็นจริงของคำพยากรณ์ที่น่าทึ่ง. แต่กองทัพของไซรัสจะบุกบาบิโลนโดยไม่มีการสู้รบตามที่บอกไว้ล่วงหน้าไหม?

15 ชาวบาบิโลนจัดงานฉลองในคืนนั้นและรู้สึกว่าตนปลอดภัยเนื่องจากมีกำแพงเมืองที่ใหญ่โต. ระหว่างนั้น ด้วยความฉลาดหลักแหลม ไซรัสได้เปลี่ยนทิศทางการไหลของแม่น้ำที่ไหลผ่านเมือง. ในไม่ช้าระดับน้ำก็ตื้นพอที่พลทหารของเขาจะเดินลุยน้ำและเข้าไปถึงกำแพงเมือง. แต่กองทัพของไซรัสจะผ่านกำแพงเมืองของบาบิโลนเข้าไปได้อย่างไร? ด้วยเหตุผลบางประการ ในคืนนั้นประตูเมืองถูกเปิดทิ้งไว้อย่างสะเพร่า!

ซากปรักหักพังของบาบิโลน

16. (ก) ยะซายาห์ได้บอกล่วงหน้าไว้อย่างไรเกี่ยวกับผลบั้นปลายของบาบิโลน? (ข) คำพยากรณ์ของยะซายาห์เรื่องความร้างเปล่าของบาบิโลนได้สำเร็จเป็นจริงอย่างไร?

16 มีการบอกล่วงหน้าเกี่ยวกับบาบิโลนว่า “เมืองนั้นจะไม่มีใครมาอยู่ต่อไปอีกเลย, และจะไม่มีใครมาตั้งบ้านเรือนอาศัยต่อไปทุกชั่วอายุ, ถึงพวกอาหรับก็จะไม่ตั้งกะโจมอาศัยอยู่ที่นั่น; หรือผู้เลี้ยงแกะจะไม่นำฝูงแกะไปพักนอนอยู่ที่นั่นเลย.” (ยะซายา 13:20) คำพยากรณ์นี้ไม่เพียงบอกล่วงหน้าถึงความล่มจมของเมืองนี้เท่านั้น แต่ยังชี้ให้เห็นว่าบาบิโลนจะร้างเปล่าอย่างถาวร. คุณสามารถเห็นหลักฐานเกี่ยวกับความสำเร็จเป็นจริงของถ้อยคำเหล่านี้ได้. บริเวณที่ตั้งของบาบิโลนโบราณซึ่งไม่มีคนอาศัยอยู่คืออยู่ห่างจากกรุงแบกแดดในประเทศอิรักไปทางใต้ประมาณ 80 กิโลเมตร เป็นข้อพิสูจน์ว่าสิ่งที่พระยะโฮวาตรัสผ่านทางยะซายาห์ได้สำเร็จเป็นจริงที่ว่า “เราจะกวาดเมืองนั้นด้วยไม้กวาดแห่งความพินาศ.”—ยะซายา 14:22, 23. *

17. ความสำเร็จเป็นจริงของคำพยากรณ์ในคัมภีร์ไบเบิลเสริมความเชื่ออย่างไร?

17 การพิจารณาคัมภีร์ไบเบิลว่าเป็นหนังสือแห่งคำพยากรณ์ที่เชื่อถือได้เพียงไรนั้น นับว่าเป็นการเสริมความเชื่อมิใช่หรือ? ที่แท้แล้ว หากพระยะโฮวาพระเจ้าได้ทำให้คำสัญญาต่าง ๆ ของพระองค์ในอดีตสำเร็จเป็นจริง เราย่อมมีเหตุผลทุกประการที่จะมั่นใจว่าพระองค์จะทำให้คำสัญญาของพระองค์เรื่องแผ่นดินโลกที่เป็นอุทยานสำเร็จเป็นจริงด้วย. (อาฤธโม 23:19) จริงทีเดียว เรามี “ความหวังเรื่องชีวิตนิรันดร์ที่พระเจ้าผู้ไม่ตรัสมุสาทรงสัญญาไว้นานมาแล้ว.”—ทิทุส 1:2. *

“พระคำของพระเจ้ามีชีวิต”

18. คริสเตียนอัครสาวกเปาโลกล่าวถ้อยคำอะไรที่มีพลังเกี่ยวกับ “พระคำของพระเจ้า”?

18 จากเรื่องที่เราได้พิจารณาในบทนี้ ปรากฏชัดว่าคัมภีร์ไบเบิลเป็นหนังสือที่ไม่มีใดเหมือนอย่างแท้จริง. กระนั้น คัมภีร์ไบเบิลมีคุณค่าไม่เพียงเพราะสอดคล้องกันภายใน, ถูกต้องทางวิทยาศาสตร์และทางประวัติศาสตร์, มีสติปัญญาที่ใช้ได้จริง, และมีคำพยากรณ์ที่เชื่อถือได้. คริสเตียนอัครสาวกเปาโลได้เขียนว่า “พระคำของพระเจ้ามีชีวิต ทรงพลังและคมกว่าดาบสองคม แทงทะลุถึงขนาดที่แยกออกระหว่างตัวตนที่เห็นกับตัวตนจริง ๆ และระหว่างกระดูกกับไขกระดูก และสามารถหยั่งรู้ความคิดและความมุ่งหมายในใจ.”—ฮีบรู 4:12

19, 20. (ก) คัมภีร์ไบเบิลจะช่วยคุณตรวจดูตัวเองได้อย่างไร? (ข) คุณจะแสดงความขอบคุณได้อย่างไรสำหรับคัมภีร์ไบเบิล ซึ่งเป็นของประทานที่ไม่มีใดเหมือนจากพระเจ้า?

19 การอ่าน “พระคำ” หรือข่าวสารของพระเจ้าในคัมภีร์ไบเบิลสามารถเปลี่ยนชีวิตของเรา. พระคำนี้สามารถช่วยเราตรวจดูตัวเองอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน. เราอาจอ้างว่ารักพระเจ้า แต่ท่าทีที่เรามีต่อคำสอนต่าง ๆ ของคัมภีร์ไบเบิลพระคำของพระองค์นั้นจะเผยให้เห็นความคิดจริง ๆ ของเรา กระทั่งเจตนาที่แท้จริงในหัวใจเราด้วยซ้ำ.

20 คัมภีร์ไบเบิลเป็นหนังสือที่มาจากพระเจ้าอย่างแท้จริง. คัมภีร์ไบเบิลเป็นหนังสือที่เราควรอ่าน, ศึกษา, และถือว่ามีค่าสูง. ขอให้คุณแสดงความขอบคุณสำหรับของประทานนี้ที่มาจากพระเจ้าโดยการเพ่งพิจารณาเนื้อหาในคัมภีร์ไบเบิลต่อ ๆ ไป. ขณะที่คุณทำเช่นนั้น คุณจะมีความเข้าใจลึกซึ้งในเรื่องพระประสงค์ของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์. ในบทต่อไปจะมีการพิจารณาว่าพระประสงค์นั้นคืออะไรและจะเป็นจริงอย่างไร.

^ วรรค 6 ถึงแม้บางคนบอกว่าบางตอนในคัมภีร์ไบเบิลขัดแย้งกับอีกตอนหนึ่ง แต่คำอ้างดังกล่าวไม่มีมูลความจริง. โปรดดูหอสังเกตการณ์ ฉบับ 15 กรกฎาคม 1992 หน้า 3-7.

^ วรรค 9 ตัวอย่างเช่น ขอสังเกตเชื้อสายบรรพบุรุษของพระเยซูซึ่งมีบอกไว้อย่างละเอียดที่ลูกา 3:23-38.

^ วรรค 16 สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องคำพยากรณ์ในคัมภีร์ไบเบิล โปรดดูหน้า 27-29 ในจุลสารหนังสือสำหรับทุกคน จัดพิมพ์โดยพยานพระยะโฮวา.

^ วรรค 17 การทำลายบาบิโลนเป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของคำพยากรณ์ในคัมภีร์ไบเบิลที่สำเร็จเป็นจริง. ยังมีตัวอย่างอื่น ๆ อีก เช่น การทำลายเมืองตุโร (ไทระ) และนีเนเวห์. (ยะเอศเคล 26:1-5; ซะฟันยา 2:13-15) นอกจากนี้ คำพยากรณ์ของดานิเอลบอกล่วงหน้าถึงลำดับของจักรวรรดิโลกที่จะขึ้นมามีอำนาจหลังจากบาบิโลน. จักรวรรดิเหล่านี้รวมเอามิโด-เปอร์เซียและกรีซ. (ดานิเอล 8:5-7, 20-22) โปรดดูภาคผนวกเรื่อง “พระเยซูคริสต์—พระมาซีฮาตามคำสัญญา” สำหรับการพิจารณาคำพยากรณ์หลายข้อเกี่ยวกับพระมาซีฮาที่ได้สำเร็จเป็นจริงในพระเยซูคริสต์.