“เจ้าทั้งหลายไม่รู้ว่าวันเวลานั้นคือเมื่อไร”
“ฉะนั้น จงเฝ้าระวังอยู่เสมอ เพราะเจ้าทั้งหลายไม่รู้ว่าวันเวลานั้นคือเมื่อไร.” —มัด. 25:13
1-3. (ก) สถานการณ์เช่นไรที่ช่วยเราให้เข้าใจจุดสำคัญของอุทาหรณ์สองเรื่องที่พระเยซูทรงใช้? (ข) เราจำเป็นต้องตอบคำถามอะไร?
ขอให้นึกภาพว่ามีเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนหนึ่งขอให้คุณขับรถเพื่อส่งเขาไปยังการนัดหมายที่สำคัญ. แต่ไม่กี่นาทีก่อนถึงเวลาจะออกเดินทาง คุณนึกขึ้นได้ว่ารถมีน้ำมันไม่พอสำหรับการเดินทางนั้น. คุณรีบออกไปซื้อน้ำมัน. แล้วในตอนนั้นเอง เจ้าหน้าที่คนนั้นก็มาถึง. เขามองหาคุณแต่ไม่พบ. เขาไม่อาจจะคอยคุณได้ เขาจึงขออีกคนหนึ่งให้ขับรถไปส่งเขา. ไม่ช้าคุณก็กลับมาแล้วก็รู้ว่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนนั้นไปแล้ว. คุณจะรู้สึกอย่างไร?
2 ทีนี้ขอให้นึกภาพว่าคุณเป็นเจ้าหน้าที่และคุณได้เลือกผู้ชายสามคนที่มีความสามารถให้ดูแลงานสำคัญบางอย่าง. คุณอธิบายว่าคุณต้องการให้เขาทำอะไรบ้าง แล้วทั้งสามคนก็ตอบรับงานนั้นอย่างเต็มใจ. แต่เมื่อคุณกลับมาหลังจากที่ผ่านไปช่วงเวลาหนึ่ง คุณก็รู้ว่ามีเพียงสองคนเท่านั้นทำงานที่คุณขอให้เขาทำ. ส่วนอีกคนหนึ่งที่ไม่ยอมทำงานก็ยังแก้ตัวอีก. ที่จริง เขาไม่ได้พยายามเลยด้วยซ้ำ. คุณจะรู้สึกอย่างไร?
3 ในอุทาหรณ์เรื่องหญิงพรหมจารีและเงินตะลันต์ พระเยซูทรงใช้สถานการณ์ที่คล้ายกันเพื่อแสดงให้เห็นว่าทำไมในช่วงเวลาอวสานคริสเตียนผู้ถูกเจิมบางคนจะสัตย์ซื่อและสุขุม แต่บางคนไม่เป็นเช่นนั้น. * (มัด. 25:1-30) พระองค์ทรงเน้นจุดสำคัญของอุทาหรณ์ทั้งสองนั้นโดยตรัสว่า “ฉะนั้น จงเฝ้าระวังอยู่เสมอ เพราะเจ้าทั้งหลายไม่รู้ว่าวันเวลานั้นคือเมื่อไร.” คำตรัสนี้ของพระเยซูหมายความว่าเหล่าสาวกจะไม่รู้วันเวลาที่แน่นอนที่พระองค์จะทำลายโลกของซาตาน. (มัด. 25:13) เราก็ต้อง “เฝ้าระวังอยู่เสมอ” เช่นกัน. เราจะได้รับประโยชน์จากการเฝ้าระวังดังที่พระเยซูทรงสนับสนุนให้เราทำได้อย่างไร? ใครที่เฝ้าระวังอยู่เสมอ? และเราต้องทำอะไรในเวลานี้เพื่อจะเฝ้าระวังอยู่เสมอ?
ประโยชน์ของการเฝ้าระวังอยู่เสมอ
4. เพื่อจะเฝ้าระวังเสมอ เหตุใดจึงไม่จำเป็นต้องรู้เวลาที่แน่นอนว่าอวสานจะมาเมื่อไร?
4 สำหรับกิจกรรมบางอย่าง เช่น การทำงานในโรงงาน การไปหาหมอ หรือการใช้บริการขนส่งสาธารณะ การรู้เวลาที่แน่นอนเป็นเรื่องสำคัญ. แต่สำหรับกิจกรรมอื่น ๆ เช่น การดับเพลิงหรือการกู้ชีพเมื่อเกิดภัยพิบัติ การคอยดูนาฬิกาอยู่เรื่อย ๆ อาจทำให้ไขว้เขว หรือถึงกับเป็นอันตรายด้วยซ้ำ. ในสถานการณ์เช่นนั้น การจดจ่ออยู่กับงานเป็นเรื่องสำคัญยิ่งกว่าการรักษาตารางเวลา. ขณะที่อวสานของระบบนี้ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ งานช่วยผู้คนให้ได้รับความรอดจากพระยะโฮวาไม่เคยสำคัญมากถึงขนาดนี้มาก่อน. การที่คริสเตียนตื่นตัวอยู่เสมอไม่ได้หมายความว่าเขาต้องคอยดูนาฬิกา. ที่จริง มีประโยชน์อย่างน้อยห้าประการจากการที่เราไม่ รู้วันเวลาที่แน่นอนว่าอวสานของระบบนี้จะมาเมื่อไร.
5. การไม่รู้ว่าอวสานจะมาเมื่อไรอาจทำให้เรามีโอกาสจะแสดงให้เห็นสิ่งที่อยู่ในหัวใจเราอย่างไร?
5 ประการแรก การไม่รู้ว่าอวสานจะมาเมื่อไรทำให้เรามีโอกาสที่จะแสดงให้เห็นว่าสิ่งที่อยู่ในหัวใจเราจริง ๆ คืออะไร. ที่จริง พระยะโฮวาทรงให้เกียรติเราโดยให้เรามีโอกาสได้ใช้เจตจำนงเสรีของเราที่จะแสดงให้เห็นว่าเราภักดีต่อพระองค์. แม้ว่าเรารอคอยที่จะรอดผ่านอวสานของระบบนี้ แต่เรารับใช้พระยะโฮวาเพราะเรารักพระองค์ ไม่ใช่เพียงเพราะหวังจะได้รับชีวิตนิรันดร์. (อ่านบทเพลงสรรเสริญ 37:4) เรามีความยินดีในการทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า และเราตระหนักว่าพระองค์กำลังสอนเราเพื่อผลประโยชน์ของเรา. (ยซา. 48:17) เราไม่รู้สึกว่าการทำตามพระบัญชาของพระองค์เป็นภาระหนัก.—1 โย. 5:3
6. เมื่อเรารับใช้พระเจ้าด้วยความรัก พระองค์ทรงรู้สึกอย่างไรและเพราะเหตุใด?
6 ประการที่สอง การที่เราไม่รู้ว่าอวสานจะมาเมื่อไรทำให้เรามีโอกาสที่จะทำให้พระทัยของพระยะโฮวายินดี. เมื่อเรารับใช้พระองค์เพราะเรารักพระองค์ ไม่ใช่เพราะรู้ว่าอวสานจะมาถึงในอีกไม่ช้าหรือเพียงเพราะอยากได้รับบำเหน็จ เรามีส่วนช่วยให้พระยะโฮวาสามารถตอบซาตานที่ใส่ร้ายพระองค์อย่างไร้เหตุผล. (โยบ 2:4, 5; อ่านสุภาษิต 27:11) เมื่อพิจารณาว่าพญามารทำให้เกิดความเจ็บปวดและความโศกเศร้ามากขนาดไหน เรายินดีสนับสนุนการปกครองของพระยะโฮวาและปฏิเสธการปกครองอันชั่วร้ายของซาตาน.
7. เหตุใดคุณจึงต้องการใช้ชีวิตเพื่อรับใช้พระเจ้าและช่วยเหลือคนอื่น ๆ?
7 ประการที่สาม การรับใช้โดยที่เราไม่รู้ว่าอวสานจะมาเมื่อไรทำให้ง่ายขึ้นที่เราจะใช้ชีวิตอย่างไม่เห็นแก่ตัวด้วยการรับใช้พระเจ้าและช่วยเหลือคนอื่น ๆ. บางคนในปัจจุบันที่ไม่รู้จักพระเจ้าก็เชื่อด้วยว่าโลกของเราจะอยู่ได้อีกไม่นาน. เนื่องจากกลัวภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้น พวกเขาจึงมีทัศนคติที่ว่า “ให้เรากินและดื่มเถิด เพราะพรุ่งนี้เราก็จะต้องตาย.” (1 โค. 15:32) แต่เราไม่กลัว. เราไม่แยกตัวอยู่ต่างหากเพื่อสนองความปรารถนาที่เห็นแก่ตัวของตนเอง. (สุภา. 18:1) แทนที่จะทำอย่างนั้น เราปฏิเสธตัวเองและใช้ประโยชน์เต็มที่จากเวลา กำลัง และทรัพย์สินที่เรามีอยู่เพื่อบอกข่าวดีเรื่องราชอาณาจักรของพระเจ้าแก่คนอื่น ๆ. (อ่านมัดธาย 16:24) การรับใช้พระเจ้าทำให้เรามีความยินดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเราช่วยคนอื่น ๆ ให้มารู้จักพระองค์.
8. ตัวอย่างอะไรในคัมภีร์ไบเบิลที่แสดงว่าเราจำเป็นต้องไว้วางใจพระยะโฮวาและพระคำของพระองค์มากยิ่งขึ้น?
8 ประการที่สี่ การที่เราไม่รู้ว่าอวสานจะมาเมื่อไรช่วยเราให้ไว้วางใจพระยะโฮวาเต็มที่ยิ่งขึ้นและพยายามนำพระคำของพระองค์ไปใช้ในชีวิตเรา. เนื่องจากความไม่สมบูรณ์ เรามีแนวโน้มที่จะไว้วางใจตัวเอง. เปาโลเตือนคริสเตียนทุกคนว่า “ให้ผู้ที่คิดว่าตนยืนมั่นอยู่แล้วระวังให้ดีจะได้ไม่ล้มลง.” ชาวอิสราเอลสองหมื่นสามพันคนสูญเสียความโปรดปรานจากพระยะโฮวาขณะที่ยะโฮซูอะกำลังจะพาพวกเขาเข้าสู่แผ่นดินที่พระเจ้าทรงสัญญาอยู่แล้ว. เปาโลกล่าวว่า “เหตุการณ์เหล่านี้ . . . ถูกเขียนไว้เพื่อเตือนเราซึ่งอยู่ในตอนสิ้นยุค.”—1 โค. 10:8, 11, 12
9. ความยากลำบากอาจขัดเกลาเราและทำให้เราใกล้ชิดพระเจ้ายิ่งขึ้นได้อย่างไร?
บทเพลงสรรเสริญ 119:71) สมัยสุดท้ายของระบบนี้เป็น “วิกฤตกาลซึ่งยากจะรับมือได้” อย่างแท้จริง. (2 ติโม. 3:1-5) หลายคนในโลกของซาตานเกลียดเรา เราจึงอาจถูกข่มเหงเพราะความเชื่อของเรา. (โย. 15:19; 16:2) เช่นเดียวกับไฟที่ทำให้เหล็กบริสุทธิ์ยิ่งขึ้น การทดสอบก็จะทำให้ความเชื่อของเราเข้มแข็งยิ่งขึ้น. ถ้าเราถ่อมใจและขอการชี้นำจากพระเจ้า การทดสอบเหล่านั้นจะไม่ทำให้เราเลิกรับใช้พระองค์. แทนที่จะเป็นอย่างนั้น เราจะมีสายสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพระยะโฮวายิ่งกว่าที่เราอาจคิดว่าจะเป็นไปได้.—ยโก. 1:2-4; 4:8
9 ประการที่ห้า การที่เราไม่รู้ว่าอวสานจะมาเมื่อไรทำให้เรามีโอกาสได้รับการขัดเกลาจากความยากลำบากต่าง ๆ ที่เราประสบอยู่ในปัจจุบัน. (อ่าน10. อะไรอาจทำให้เวลาดูเหมือนว่าผ่านไปอย่างรวดเร็ว?
10 เวลาผ่านไปช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับตัวเราเองด้วย. เมื่อเรามีธุระยุ่งและไม่ได้คอยดูนาฬิกา เวลาก็ดูเหมือนจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว. ในทำนองเดียวกัน ถ้าเราหมกมุ่นอยู่กับงานที่น่าตื่นเต้นที่พระยะโฮวาประทานแก่เรา อวสานก็อาจมาถึงเร็วกว่าที่เราคิด. ในเรื่องนี้ ผู้ถูกเจิมส่วนใหญ่ได้วางตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมไว้. ขอให้เรามาทบทวนกันสั้น ๆ ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากที่พระเยซูทรงได้รับแต่งตั้งให้เป็นกษัตริย์ในปี 1914. ขอให้สังเกตว่าบางคนอยู่ในสภาพที่เตรียมพร้อมอย่างไรและบางคนไม่พร้อมอย่างไร.
ผู้ถูกเจิมแสดงให้เห็นว่าพวกเขาอยู่พร้อม
11. หลังปี 1914 เหตุใดผู้ถูกเจิมบางคนลงความเห็นว่าพระเยซูมาช้า?
11 ขอให้นึกถึงอุทาหรณ์ของพระเยซูเรื่องหญิงพรหมจารีและเงินตะลันต์. ถ้าหญิงพรหมจารีหรือทาสในอุทาหรณ์สองเรื่องนี้รู้ว่าเจ้าบ่าวหรือนายจะมาเมื่อไร พวกเขาคงไม่จำเป็นต้องเฝ้าระวัง. แต่พวกเขาไม่รู้ พวกเขาจึงจำเป็นต้องเตรียมตัวให้พร้อมอยู่เสมอ. แม้ว่าเหล่าผู้ถูกเจิมรู้เป็นเวลาหลายปีก่อนจะถึงปี 1914 ว่าปีนี้เป็นปีสำคัญ แต่พวกเขาไม่เข้าใจอย่างชัดเจนว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น. เมื่อเหตุการณ์ไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเขาคาดหมายไว้ นั่นอาจดูเหมือนว่าเจ้าบ่าว ซึ่งก็คือพระเยซู มาช้า. พี่น้องชายคนหนึ่งกล่าวในภายหลังว่า “มีพวกเราบางคนที่เชื่อว่าเราจะไปสวรรค์กันในช่วงสัปดาห์แรกของเดือนตุลาคมปี 1914.”
12. ผู้ถูกเจิมแสดงให้เห็นอย่างไรว่าพวกเขาสัตย์ซื่อและสุขุม?
12 ขอให้คิดดูว่าเป็นเรื่องที่ทำให้ท้อใจสักเพียงไรที่คาดหมายว่าอวสานจะมาแต่กลับไม่มา! นอกจากนั้น ในช่วงที่เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 พี่น้องเหล่านี้ยังถูกต่อต้านอีกด้วย. การประกาศหยุดชะงักเกือบสิ้นเชิง ราวกับว่าเหล่าผู้ถูกเจิมพากันหลับหมด. แต่ในปี 1919 มีเสียงเรียกอย่างหนึ่งที่ปลุกพวกเขาให้ตื่น! พระเยซูเสด็จมาที่พระวิหารฝ่ายวิญญาณของพระเจ้า และถึงเวลาที่พระองค์จะทรงตรวจตราทุกคนที่เรียกตัวเองว่าคริสเตียน. แต่บางคนไม่ผ่านการตรวจสอบและสูญเสียสิทธิพิเศษที่จะทำงานให้นาย ซึ่งก็คือพระเยซู. (มัด. 25:16) พวกเขาไม่ตื่นตัวและไม่ขยันเติมน้ำมันฝ่ายวิญญาณ เช่นเดียวกับหญิงพรหมจารีโง่. และเช่นเดียวกับทาสที่เกียจคร้าน พวกเขาไม่เต็มใจจะเสียสละตัวเองเพื่อเห็นแก่ราชอาณาจักร. แต่ผู้ถูกเจิมส่วนใหญ่แสดงความภักดีอย่างแน่วแน่มั่นคงและมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะรับใช้นายแม้แต่ในช่วงสงครามที่ประสบความยากลำบาก.
13. ทัศนคติของชนชั้นทาสภายหลังปี 1914 เป็นเช่นไร และทัศนคติของพวกเขาในทุกวันนี้เป็นเช่นไร?
13 หลังปี 1914 วารสารหอสังเกตการณ์ ลงแถลงการณ์สำคัญดังต่อไปนี้: “พี่น้องทั้งหลาย พวกเราที่มีทัศนะที่ถูกต้องต่อพระเจ้าไม่ผิดหวังกับอะไรก็ตามที่พระองค์ทรงจัดเตรียม. เราไม่หวังให้เป็นไปตามความปรารถนาของตัวเราเอง; ดังนั้น เมื่อเห็นว่าเราคาดหมายผิดเกี่ยวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในเดือนตุลาคม 1914 เราจึงดีใจที่องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้วิ. 7:9; โย. 10:16
เปลี่ยนแผนการของพระองค์ให้ตรงกับสิ่งที่เราคาดหมาย. เราไม่ปรารถนาให้พระองค์ทำอย่างนั้น. เราเพียงแต่หวังว่าจะสามารถเข้าใจแผนการและพระประสงค์ของพระองค์.” ทัศนคติที่ถ่อมใจและเลื่อมใสพระเจ้าเช่นนี้ยังคงเป็นลักษณะของเหล่าผู้ถูกเจิมขององค์พระผู้เป็นเจ้า. พวกเขาไม่อ้างว่าได้รับการดลใจ แต่พวกเขาตั้งใจแน่วแน่ที่จะทำการงานขององค์พระผู้เป็นเจ้าบนแผ่นดินโลกนี้. และในเวลานี้ “ชนฝูงใหญ่” ที่เป็น “แกะอื่น” ซึ่งเป็นคริสเตียนที่มีความหวังจะอยู่บนแผ่นดินโลกก็กำลังทำตามแบบอย่างที่ดีของพวกเขาในเรื่องการเฝ้าระวังและความมีใจแรงกล้า.—แกะอื่นพิสูจน์ตัวว่าอยู่พร้อม
14. การเชื่อฟังและทำตามทาสสัตย์ซื่อที่พระเจ้าทรงแต่งตั้งให้จ่ายแจกอาหารฝ่ายวิญญาณจะช่วยปกป้องเราไว้อย่างไร?
14 เช่นเดียวกับคริสเตียนผู้ถูกเจิม สมาชิกของชนฝูงใหญ่ที่ตื่นตัวกำลังแสดงให้เห็นว่าพวกเขาเชื่อฟังและทำตามทาสสัตย์ซื่อที่พระเจ้าทรงแต่งตั้งไว้ให้จ่ายแจกอาหารฝ่ายวิญญาณ. นั่นเป็นเหมือนกับการที่พวกเขากำลังเติมน้ำมันฝ่ายวิญญาณจากพระคำและพระวิญญาณของพระเจ้า. (อ่านบทเพลงสรรเสริญ 119:130; โยฮัน 16:13) เมื่อได้รับการเสริมกำลังเช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็พิสูจน์ว่าอยู่พร้อมสำหรับการเสด็จกลับของพระคริสต์ด้วย โดยทำการงานอย่างขันแข็งเสมอแม้เมื่อถูกทดสอบอย่างรุนแรง. ตัวอย่างเช่น ในค่ายกักกันแห่งหนึ่งของนาซี ในช่วงแรกพี่น้องมีคัมภีร์ไบเบิลแค่เล่มเดียว. พวกเขาจึงอธิษฐานขอให้มีอาหารฝ่ายวิญญาณมากขึ้น. ไม่นานหลังจากนั้น พวกเขาก็ได้ยินว่าพี่น้องซึ่งจะเข้ามาเป็นนักโทษใหม่ได้ซ่อนวารสารหอสังเกตการณ์ ฉบับล่าสุดสองสามฉบับไว้ในขาเทียมซึ่งทำด้วยไม้เข้ามาในค่าย. บราเดอร์เอินสต์ เวาเออร์ ซึ่งเป็นผู้ถูกเจิมคนหนึ่งที่รอดชีวิต กล่าวในภายหลังว่า “พระยะโฮวาทรงช่วยเราด้วยวิธีที่น่าทึ่งให้สามารถจดจำบทความต่าง ๆ เหล่านั้นซึ่งช่วยเสริมให้เราเข้มแข็ง.” แล้วเขาก็กล่าวว่า “ในปัจจุบัน เรารับอาหารฝ่ายวิญญาณได้อย่างง่ายดาย แต่เราเห็นคุณค่าอาหารเหล่านี้อยู่เสมอไหม? ผมเชื่อมั่นว่าพระยะโฮวาจะประทานพระพรอย่างอุดมบริบูรณ์แก่คนที่ไว้วางใจพระองค์ รักษาความภักดี และรับประทานที่โต๊ะของพระองค์.”
15, 16. ความกระตือรือร้นของคู่สมรสคู่หนึ่งทำให้เขาได้รับพระพรอย่างไร และคุณเรียนอะไรได้จากประสบการณ์เช่นนี้?
15 แกะอื่นยังขยันขันแข็งในการทำงานของนายเพื่อสนับสนุนเหล่าพี่น้องของพระคริสต์อย่างเต็มที่มัด 25:40) พวกเขาไม่เหมือนกับทาสชั่วที่เกียจคร้านในอุทาหรณ์ของพระเยซู เพราะพวกเขาเต็มใจทำงานหนักและเสียสละเพื่อจัดให้ผลประโยชน์ของราชอาณาจักรมีความสำคัญเป็นอันดับแรกในชีวิตของพวกเขา. ตัวอย่างเช่น เมื่อจอนกับมาซาโกะได้รับเชิญให้ไปช่วยเขตงานที่พูดภาษาจีนในประเทศเคนยา ทีแรกทั้งสองยังไม่ค่อยแน่ใจว่าจะไปดีหรือไม่. แต่หลังจากได้พิจารณาสภาพการณ์ของตนและอธิษฐานเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว ทั้งสองตัดสินใจย้ายไปที่นั่น.
ด้วย. (16 ทั้งสองได้รับบำเหน็จอย่างมากสำหรับความกระตือรือร้นในงานรับใช้และกล่าวว่า “การทำงานประกาศที่นี่เป็นเรื่องยอดเยี่ยมจริง ๆ.” ทั้งสองเริ่มการศึกษาพระคัมภีร์เจ็ดราย และหลังจากนั้นก็มีประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นอีกมากมายตามมา. ทั้งสองกล่าวลงท้ายว่า “เราขอบคุณพระยะโฮวาทุก ๆ วันที่พระองค์ทรงให้เรามาอยู่ที่นี่.” แน่นอน มีพี่น้องจำนวนมากที่แสดงให้เห็นว่าพวกเขาตั้งใจแน่วแน่จะทำงานรับใช้พระเจ้าอย่างเต็มที่ไม่ว่าอวสานจะมาเมื่อไร. ขอให้คิดถึงหลายพันคนที่สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนกิเลียดและทำงานเป็นมิชชันนารี. คุณจะเรียนรู้มากขึ้นเกี่ยวกับงานมิชชันนารีได้ถ้าคุณอ่านบทความ “เราทำสุดกำลังของเรา!” ซึ่งลงในหอสังเกตการณ์ ฉบับ 15 ตุลาคม 2001. เมื่อคุณพิจารณาเรื่องราวที่น่าทึ่งเกี่ยวกับงานที่มิชชันนารีทำในแต่ละวัน ขอให้คิดถึงวิธีต่าง ๆ ที่คุณอาจทำได้มากขึ้นในการรับใช้พระเจ้า. งานรับใช้ของคุณจะทำให้พระเจ้าได้รับคำสรรเสริญและจะทำให้คุณมีความยินดีมากขึ้น.
คุณเองก็ต้องเฝ้าระวังอยู่เสมอ
17. การไม่รู้วันเวลาที่อวสานจะมาเป็นพระพรอย่างไร?
17 เห็นได้ชัดว่า การที่เราไม่รู้ว่าอวสานของระบบนี้จะมาเมื่อไรเป็นพระพรสำหรับเรา. แทนที่จะกระวนกระวายใจหรือผิดหวัง เราใกล้ชิดกับพระยะโฮวาพระบิดาผู้เปี่ยมด้วยความรักมากขึ้นถ้าเราหมกมุ่นอยู่กับการทำตามพระประสงค์ของพระองค์. เมื่อเราทำอย่างนั้นและหลีกเลี่ยงสิ่งล่อใจต่าง ๆ เราก็จะมีความสุขในการรับใช้พระยะโฮวา.—ลูกา 9:62
18. เหตุใดเราต้องการรับใช้พระเจ้าอย่างซื่อสัตย์เสมอ?
18 วันแห่งการพิพากษาของพระเจ้าจวนจะถึงอยู่แล้ว. ไม่มีใครในพวกเราที่อยากจะทำให้พระยะโฮวาและพระเยซูผิดหวัง. พระองค์ทั้งสองประทานสิทธิพิเศษอันล้ำค่าในการรับใช้แก่เราในสมัยสุดท้ายนี้. เรารู้สึกขอบคุณสักเพียงไรที่พระองค์ทรงไว้วางใจเรา!—อ่าน 1 ติโมเธียว 1:12
19. เราจะพิสูจน์ให้เห็นว่าเราอยู่พร้อมได้อย่างไร?
19 ไม่ว่าเรามีความหวังจะมีชีวิตในสวรรค์หรือในอุทยานบนแผ่นดินโลก ขอให้เราตั้งใจแน่วแน่ว่าจะทำงานที่ได้รับมอบหมายจากพระเจ้าในการประกาศและสอนคนให้เป็นสาวกต่อ ๆ ไป. เรายังคงไม่รู้เวลาที่แน่นอนที่วันของพระยะโฮวาจะมาถึง แต่เราจำเป็นต้องรู้จริง ๆ ไหม? แม้ว่าเราไม่รู้ เราจะพร้อมสำหรับวันนั้นได้. (มัด. 24:36, 44) เราเชื่อมั่นว่าตราบใดที่เราไว้วางใจพระยะโฮวาอย่างเต็มที่และให้ราชอาณาจักรของพระองค์สำคัญเป็นอันดับแรก เราจะไม่ผิดหวังเลย.—โรม 10:11