มาร์ติน ลูเทอร์ บุรุษผู้หนึ่งและมรดกตกทอดของเขา
มาร์ติน ลูเทอร์ บุรุษผู้หนึ่งและมรดกตกทอดของเขา
“กล่าวกันว่าหนังสือที่เขียนเกี่ยวกับ [มาร์ติน ลูเทอร์] มีมากกว่าที่เขียนเกี่ยวกับบุคคลอื่นใดในประวัติศาสตร์ เว้นแต่งานเขียนเกี่ยวกับผู้เป็นนายของเขา ซึ่งก็คือพระเยซูคริสต์.” นิตยสารไทม์ ได้กล่าวไว้เช่นนั้น. ถ้อยคำของลูเทอร์และกิจการงานของเขามีส่วนก่อให้เกิดการปฏิรูปศาสนา—การเคลื่อนไหวทางศาสนาซึ่งได้รับการพรรณนาว่าเป็น “การปฏิวัติที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ.” โดยวิธีนี้ เขาจึงช่วยทำให้สภาพการณ์ทางศาสนาในยุโรปเปลี่ยนแปลงไปและปิดฉากยุคกลางในทวีปนั้น. ลูเทอร์ยังวางพื้นฐานซึ่งถือว่าเป็นมาตรฐานด้านภาษาเขียนของภาษาเยอรมันอีกด้วย. คัมภีร์ไบเบิลฉบับที่เขาแปลยังคงเป็นคัมภีร์ไบเบิลภาษาเยอรมันที่นิยมกันมากที่สุด.
มาร์ติน ลูเทอร์เป็นบุคคลชนิดใด? เขากลายมาเป็นบุคคลที่มีผลกระทบต่อความเป็นไปของยุโรปดังที่กล่าวนั้นได้อย่างไร?
ลูเทอร์กลายเป็นผู้คงแก่เรียน
มาร์ติน ลูเทอร์เกิดในเมืองไอสเลเบิน ประเทศเยอรมนี ในเดือนพฤศจิกายน ปี 1483. แม้ว่าบิดาของเขาจะเป็นคนงานในเหมืองแร่ทองแดง แต่เขาก็หาทางที่จะมีรายได้เพียงพอเพื่อจะแน่ใจว่ามาร์ตินจะได้รับการศึกษาที่ดี. ในปี 1501 มาร์ตินได้เป็นนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยในเมืองแอร์ฟูร์ท. ณ ห้องสมุดของที่นั่น เขาได้มีโอกาสอ่านคัมภีร์ไบเบิลเป็นครั้งแรก. เขากล่าวว่า “ข้าพเจ้าชอบหนังสือเล่มนี้มากจริง ๆ และข้าพเจ้าหวังว่าสักวันหนึ่งจะโชคดีพอที่จะเป็นเจ้าของหนังสือนี้สักเล่ม.”
เมื่ออายุ 22 ปี ลูเทอร์เข้าไปอยู่ในอารามเอากุสตินแห่งเมืองแอร์ฟูร์ท. ต่อมาเขาได้เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยในเมืองวิทเทนแบร์ก และได้รับปริญญาเอกสาขาวิชาเทววิทยา. ลูเทอร์คิดว่าตัวเขาไม่คู่ควรกับความโปรดปรานจากพระเจ้า และบางครั้งทำให้เขารู้สึกซึมเศร้าเพราะความรู้สึกผิด. แต่จากการศึกษาคัมภีร์ไบเบิล, การอธิษฐาน, และการคิดรำพึงช่วยเขาให้เข้าใจดีขึ้นเกี่ยวกับทัศนะของพระเจ้าที่มีต่อคนบาป. ลูเทอร์ได้มาตระหนักว่าความโปรดปรานจากพระเจ้านั้นไม่ใช่ได้รับเสมือนเป็นค่าจ้าง. ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ เป็นพระกรุณาอันไม่พึงได้รับซึ่งให้แก่คนเหล่านั้นที่แสดงความเชื่อ.—โรม 1:16; 3:23, 24, 28.
ลูเทอร์มาลงความเห็นได้อย่างไรว่าความเข้าใจใหม่ของเขาถูกต้อง? คูร์ท อาลันด์ ศาสตราจารย์ด้านประวัติศาสตร์คริสตจักรยุคแรกและการวิจัยข้อความจาก
ต้นฉบับเดิมของพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ เขียนดังนี้: “เขาได้ใคร่ครวญคัมภีร์ไบเบิลตลอดทั้งเล่มเพื่อตัดสินว่า ความรู้ใหม่ที่ได้พบนั้นยังเป็นความจริงอยู่หรือไม่ เมื่อเทียบกับข้อความอื่น ๆ ในคัมภีร์ไบเบิล และเขาก็พบว่าเขาได้รับการยืนยันทุกที่ในคัมภีร์ไบเบิล.” หลักคำสอนเรื่องได้รับการประกาศว่าชอบธรรมโดยพระเจ้าหรือได้รับความรอดไม่ใช่โดยการทำงานที่ดีหรือการชดใช้โทษบาป แต่โดยความเชื่อ ก็ยังคงเป็นเสาเอกแห่งการสอนของลูเทอร์.ขุ่นเคืองในเรื่องการลดโทษบาป
ความเข้าใจของลูเทอร์ในเรื่องที่ว่าพระเจ้ามีทัศนะอย่างไรต่อคนบาปทำให้เขาขัดแย้งกับคริสตจักรโรมันคาทอลิก. ในสมัยนั้นมีความเชื่ออย่างกว้างขวางว่า หลังจากตายแล้ว คนบาปจะต้องถูกลงโทษช่วงเวลาหนึ่ง. อย่างไรก็ดี กล่าวกันว่า โดยอำนาจของโปป ช่วงเวลานั้นอาจสั้นลงได้โดยแลกกับเงิน. พ่อค้าอย่าง โยฮัน เททเซิล ผู้เป็นตัวแทนของอาร์ชบิชอปอัลเบิร์ตแห่งไมนซ์ หากำไรจากการขายใบลดโทษบาปให้ประชาชน. หลายคนจึงมองว่าการลดโทษบาปเป็นเหมือนหลักประกันสำหรับบาปที่จะทำในอนาคต.
ลูเทอร์เดือดดาลกับเรื่องการขายใบลดโทษบาป. เขารู้ว่ามนุษย์ไม่สามารถต่อรองกับพระเจ้าได้. ในฤดูใบไม้ร่วงปี 1517 เขาเขียนข้อคัดค้านอันเป็นที่รู้จักกันดี 95 ข้อ ประณามความไม่ถูกต้องของคริสตจักรในเรื่องเงิน, หลักคำสอน, และศาสนา. โดยต้องการที่จะสนับสนุนการปฏิรูป ไม่ใช่ขืนอำนาจ ลูเทอร์จึงส่งสำเนาข้อคัดค้านของตนให้อาร์ชบิชอปอัลเบิร์ตแห่งไมนซ์รวมทั้งผู้คงแก่เรียนหลายคน. นักประวัติศาสตร์หลายคนชี้ว่าปี 1517 หรือเวลาใกล้เคียง เป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิรูป.
การโอดครวญเกี่ยวกับการกระทำผิดของคริสตจักรไม่ได้มีเพียงลูเทอร์เท่านั้น. เมื่อร้อยปีก่อนหน้านั้นนักปฏิรูปศาสนาชาวเช็ก ยาน ฮุส ก็ตำหนิการขายใบลดโทษบาป. แม้แต่ก่อนสมัยของฮุส ก็ยังมีจอห์น วิคลิฟฟ์แห่งอังกฤษที่ได้ชี้ให้เห็นว่า จารีตประเพณีบางอย่างของคริสตจักรไม่เป็นไปตามหลักพระคัมภีร์. บุคคลที่ร่วมสมัยเดียวกับลูเทอร์คือ เอราสมุส แห่งรอตเทอร์ดัมและทินเดลแห่งอังกฤษก็สนับสนุนให้มีการปฏิรูป. แต่โดยอาศัยแท่นพิมพ์ด้วยระบบตัวเรียงที่โยฮันเนส กูเทนเบิร์กประดิษฐ์ขึ้นในเยอรมนี ข้อเขียนของลูเทอร์จึงส่งผลกระทบอย่างมากและแพร่หลายไปไกลกว่าของนักปฏิรูปคนอื่น ๆ.
แท่นพิมพ์ของกูเทนเบิร์กแห่งไมนซ์ใช้งานในปี 1455. ในช่วงต้นศตวรรษต่อมา มีแท่นพิมพ์ตามเมืองต่าง ๆ ในเยอรมนี 60 เมือง และในแถบยุโรปอีก 12 ประเทศ. นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่สาธารณชนทั่วไปรับรู้ข่าวสารที่พวกเขาสนใจอย่างรวดเร็ว. บางที ข้อคัดค้าน 95 ข้อของลูเทอร์อาจถูกพิมพ์และเผยแพร่ออกไปโดยปราศจากการเห็นชอบจากเขาก็ได้. หัวข้อเรื่องการปฏิรูปคริสตจักรก็ไม่ได้เป็นเพียงข้อถกเถียงเฉพาะบางแห่งเท่านั้น แต่กลายเป็นการโต้เถียงที่แพร่กระจายไปทั่ว และมาร์ติน ลูเทอร์กลายเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงที่สุดไปในทันทีในประเทศเยอรมนี.
ปฏิกิริยาของ “ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์”
เป็นเวลาหลายศตวรรษที่ยุโรปตกอยู่ในกำมือของสองสถาบันที่ทรงอำนาจคือ จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์และคริสตจักรโรมันคาทอลิก. ฮันส์ ลิลเย อดีตประธานสหพันธ์ลูเทอรันโลกอธิบายไว้ว่า “จักรพรรดิและโปปคู่กันเหมือนดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์.” อย่างไรก็ดี ยังเป็นข้อสงสัยอยู่มากว่า ใครที่หมายถึงดวงอาทิตย์และใครที่หมายถึงดวงจันทร์. พอมาถึงต้นศตวรรษที่ 16 ยุคเรืองอำนาจที่สุดของทั้งสองสถาบันก็ผ่านไป. บรรยากาศแห่งการเปลี่ยนแปลงแพร่กระจายไปทั่ว.
โปปลีโอที่ 10 ตอบโต้ข้อคัดค้าน 95 ข้อของลูเทอร์โดยข่มขู่เขาว่าจะไล่ออกจากศาสนาเว้นเสียแต่ว่าเขาจะยอมถอนคำพูด. ลูเทอร์จึงเผากฤษฎีกาซึ่งบรรจุคำขู่ของโปปในที่สาธารณะอย่างไม่เกรงกลัวและได้ตีพิมพ์ผลงานอื่น ๆ เพิ่มอีก เพื่อเร้าผู้มีอำนาจทั้งหลายให้ปฏิรูปคริสตจักรถึงแม้โปปจะไม่เห็นชอบด้วยก็ตาม. ในปี 1521 โปปลีโอที่ 10 ขับลูเทอร์ออกจากศาสนา. เมื่อลูเทอร์คัดค้านว่าเขาถูกลงโทษโดยปราศจากการพิจารณาความอย่างยุติธรรม จักรพรรดิชาลส์ที่ 5 จึงเรียกนักปฏิรูปผู้นี้มาปรากฏตัวต่อหน้าสภาของจักรพรรดิที่เมืองวอมส์. การเดินทาง 15 วันของลูเทอร์จากวิทเทนแบร์กสู่วอมส์ ในเดือนเมษายนปี 1521 เหมือนกับขบวนฉลองชัยชนะ. ประชาชนอยู่ฝ่ายเขา และผู้คนทุกหนแห่งอยากจะเห็นเขา.
ที่วอมส์ ลูเทอร์ยืนอยู่ต่อหน้าจักรพรรดิ, เจ้าชาย, และทูตของโปป. ยาน ฮุส ก็เคยเผชิญหน้าการพิจารณาคดีแบบเดียวกันนี้ในสภาคอนสตันซ์ในปี 1415 และในที่สุดก็ถูกเผาบนหลัก. ขณะที่สายตาของคริสตจักรและจักรพรรดิจ้องมองมาที่เขา ลูเทอร์ปฏิเสธที่จะถอนคำพูดเว้นแต่ว่าผู้ที่เป็นปฏิปักษ์กับเขาจะพิสูจน์จากคัมภีร์ไบเบิลว่าเขาเป็นฝ่ายผิด. แต่ไม่มีใครสักคนที่มีความจำในเรื่องพระคัมภีร์เทียบเท่ากับเขา. เอกสารที่เรียกว่าประกาศิตแห่งวอมส์เปิดเผยผลการพิจารณาคดีนั้น. เอกสารนั้นประกาศว่าลูเทอร์เป็นคนนอกกฎหมายและมีการสั่งห้ามงานเขียนของเขา. เนื่องจากถูกขับออกจากศาสนาโดยโปปและถูกประกาศว่าเป็นคนนอกกฎหมายโดยจักรพรรดิ ตอนนี้ชีวิตของเขาจึงตกอยู่ในอันตราย.
แล้วสถานการณ์ก็พลิกผันอย่างคาดไม่ถึงและน่าทึ่ง. ในการเดินทางกลับวิทเทนแบร์ก เฟรเดอริกแห่งแซกโซนีผู้หวังดีได้วางแผนการที่ทำให้เชื่อว่าลูเทอร์ถูกลักพาตัวไป. นั่นทำให้ศัตรูของลูเทอร์หาตัวเขาไม่พบ. ลูเทอร์หลบเข้าไปอยู่ในปราสาทวาร์ทบูร์กที่อยู่ห่างไกลผู้คน เขาไว้หนวดเคราและปลอมตัวเป็นขุนนางโดยใช้ชื่อว่ายุงเคอร์ เยอร์ก.
คัมภีร์ไบเบิลฉบับแปลกันยายนเป็นที่ต้องการมาก
เพื่อหลบภัยจากจักรพรรดิและโปป ลูเทอร์จึงอาศัยอยู่ที่ปราสาทวาร์ทบูร์กสิบเดือน. หนังสือชื่อวาร์ทบูร์ก มรดกโลก (ภาษาเยอรมัน) อธิบายว่า “ช่วงเวลาที่อยู่ในวาร์ทบูร์กเป็นช่วงที่เขาผลิตและสร้างสรรค์ผลงานมากที่สุดในชีวิตของเขา.” หนึ่งในความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาคือ การแปลพระคัมภีร์ภาคภาษากรีกฉบับของเอราสมุสเป็นภาษาเยอรมันเสร็จสมบูรณ์ที่นั่น. ผลงานชิ้นนี้เป็นที่รู้จักกันในนามของคัมภีร์ไบเบิลฉบับแปลกันยายนเพราะพิมพ์ออกในเดือนกันยายนปี 1522 โดยไม่มีการระบุชื่อลูเทอร์ฐานะผู้แปล. ราคาของหนังสือนี้ประมาณหนึ่งกิลเดอร์ครึ่ง ซึ่งเท่ากับค่าจ้างหนึ่งปีสำหรับแม่บ้าน. กระนั้น ก็ยังมีความต้องการคัมภีร์ไบเบิลฉบับแปลกันยายนอย่างมาก. ภายใน 12 เดือนมีการตีพิมพ์ 2 ครั้งจำนวน 6,000 เล่มและมีการตีพิมพ์อย่างน้อย 69 ครั้งในช่วง 12 ปีต่อมา.
ในปี 1525 มาร์ติน ลูเทอร์แต่งงานกับคาทารีนา ฟอน โบราซึ่งเดิมเคยเป็นแม่ชีมาก่อน. คาทารีนาจัดการงานในบ้านเป็นอย่างดี และยังสามารถรับมือกับค่าใช้จ่ายที่เกิดจากความใจกว้างของสามี. เพราะบ้านของลูเทอร์ไม่ได้มีแค่ภรรยาและลูกหกคนเท่านั้น แต่ยังมีบรรดาเพื่อนฝูง, เหล่าผู้คงแก่เรียน, และผู้ลี้ภัยอีกด้วย. ในช่วงท้ายของชีวิต ลูเทอร์มีชื่อเสียงฐานะเป็นที่ปรึกษาถึงขนาดเหล่าผู้คงแก่เรียนที่มาเยี่ยมที่บ้านเขามาพร้อมกับปากกาและกระดาษเพื่อจดข้อคิดเห็นของเขา. ข้อความเหล่านี้ได้รวบรวมไว้ในหนังสือ
ที่ชื่อว่า ลูเทอส์ ทิชเรเดน (คำปราศรัยที่โต๊ะของลูเทอร์ ภาษาเยอรมัน). มีช่วงหนึ่งที่หนังสือนี้ขายดีมาก จะเป็นรองก็เพียงแต่คัมภีร์ไบเบิลเท่านั้น.ผู้แปลที่มีพรสวรรค์และนักเขียนที่มีผลงานออกมามากมาย
งานแปลพระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรูของลูเทอร์แล้วเสร็จในปี 1534. เขามีความสามารถที่จะทำให้งานของเขาสมดุลทั้งในเรื่องของลีลาการเขียน, ท่วงทำนอง, และคำศัพท์. ผลก็คือคนธรรมดาสามัญก็สามารถเข้าใจคัมภีร์ไบเบิลได้. เมื่อกล่าวถึงวิธีการแปลของเขา ลูเทอร์เขียนว่า “เราควรสนทนากับพวกแม่บ้าน, เด็ก ๆ ที่อยู่ตามท้องถนนและคนธรรมดาที่อยู่ในตลาด แล้วสังเกตว่าพวกเขาพูดกันอย่างไร ครั้นแล้วก็แปลไปตามนั้น.” คัมภีร์ไบเบิลของลูเทอร์จึงเป็นการวางพื้นฐานที่เป็นมาตรฐานสำหรับภาษาเขียนซึ่งต่อมาเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปในเยอรมนี.
ลูเทอร์มีทั้งพรสวรรค์ในฐานะผู้แปลและความชำนาญในฐานะนักเขียน. ว่ากันว่าเขาได้เขียนบทความทุก ๆ สองสัปดาห์ตลอดชีวิตการทำงานของเขา. งานเขียนบางชิ้นก่อให้เกิดการโต้เถียงเหมือนกับตัวผู้แต่ง. ถ้างานเขียนของเขาในช่วงแรกมีรูปแบบที่รุนแรง อายุที่มากขึ้นก็ไม่ได้ทำให้ความรุนแรงลดลงแต่อย่างใด. งานเขียนในช่วงหลัง ๆ ของเขายิ่งรุนแรงมากขึ้น. ตามที่มีกล่าวไว้ในสารานุกรมเทววิทยาและคริสตจักร (ภาษาเยอรมัน) งานของลูเทอร์เผยให้เห็นถึง “ความโกรธอย่างที่ไม่มีการเหนี่ยวรั้งของเขา” และ “การขาดความถ่อมใจและความรัก” รวมทั้ง “มีความรู้สึกที่รุนแรงที่จะทำตามหน้าที่รับผิดชอบ.”
เมื่อเกิดการจลาจลของชาวนาขึ้นและเขตปกครองต่าง ๆ นองไปด้วยเลือด มีคนถามความเห็นของลูเทอร์เกี่ยวกับการจลาจลที่เกิดขึ้น. ชาวนามีเหตุอันควรที่จะฟ้องร้องผู้ปกครองนครของพวกเขาหรือไม่? ลูเทอร์ไม่ได้พยายามรักษาความนิยมชมชอบไว้โดยตอบคำถามในแบบที่ผู้คนส่วนใหญ่จะพอใจ. เขาเชื่อว่าผู้รับใช้พระเจ้าควรเชื่อฟังคนเหล่านั้นที่มีอำนาจ. (โรม 13:1) ในการตัดสินอย่างตรงไปตรงมา ลูเทอร์กล่าวว่าต้องปราบผู้ที่กระด้างกระเดื่องโดยการใช้กำลัง. เขากล่าวว่า “ใครก็ตามที่สามารถทำได้ ให้เขาแทง, ทุบตี, และฆ่า.” ฮันส์ ลิลเย กล่าวว่าคำตอบเช่นนี้ทำให้ลูเทอร์เสื่อม “ความนิยมอย่างที่ไม่มีใครเทียบได้เท่าที่เคยมีมาท่ามกลางประชาชน.” ยิ่งกว่านั้น ข้อเขียนในช่วงหลัง ๆ ของลูเทอร์เกี่ยวกับชาวยิวที่ปฏิเสธการเปลี่ยนมาเป็นคริสเตียนที่เขียนในหนังสือเกี่ยวกับชาวยิวและการโกหกของพวกเขา (ภาษาเยอรมัน) เป็นเหตุให้หลายคนตราหน้าเขาว่าเป็นผู้แต่งหนังสือต่อต้านชาวยิว.
มรดกของลูเทอร์
การปฏิรูปศาสนาซึ่งลูเทอร์, แคลวิน, และซวิงลี กระตุ้นให้เกิดนำไปสู่มุมมองใหม่ต่อศาสนาที่เรียกว่า นิกายโปรเตสแตนต์. มรดกส่วนใหญ่ของลูเทอร์ที่ให้แก่นิกายโปรเตสแตนต์คือหลักคำสอนสำคัญเรื่องการได้รับการประกาศว่าชอบธรรมโดยอาศัยความเชื่อ. แต่ละเขตปกครองของเยอรมนีเข้าข้างไม่โปรเตสแตนต์ก็คาทอลิก. นิกายโปรเตสแตนต์แพร่หลายและได้รับการสนับสนุนมากจากประชาชนในสแกนดิเนเวีย, สวิตเซอร์แลนด์, อังกฤษ, และเนเธอร์แลนด์. ทุกวันนี้มีผู้นับถือหลายร้อยล้านคน.
หลายคนที่ไม่รับเอาความเชื่อของลูเทอร์ทุกอย่างก็ยังคงนับถือเขามาก. ในปี 1983 อดีตสาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมัน ซึ่งรวมเอาเมืองไอสเลเบิน, แอร์ฟูร์ท, วิทเทนแบร์ก, และวาร์ทบูร์กไว้ภายในพรมแดน ได้จัดงานฉลองวันเกิดของลูเทอร์ครบรอบที่ 500. รัฐสังคมนิยมนี้ยอมรับเขาในฐานะเป็นบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมเยอรมัน. ยิ่งกว่านั้น นักเทววิทยาคาทอลิกแห่งทศวรรษ 1980 ได้สรุปถึงผลกระทบของลูเทอร์และกล่าวดังนี้: “ไม่มีใครสักคนหลังจากลูเทอร์ ที่เทียบกับเขาได้.” ศาสตราจารย์อาลันด์เขียนดังนี้: “ในแต่ละปี สิ่งพิมพ์ใหม่ ๆ อย่างน้อย 500 ฉบับเขียนเกี่ยวกับมาร์ติน ลูเทอร์และการปฏิรูปศาสนา ซึ่งมีในภาษาหลัก ๆ หลายภาษาของโลก.”
มาร์ติน ลูเทอร์เป็นผู้มีสติปัญญาเฉียบแหลม, มีความจำเป็นเลิศ, และทำงานอย่างขยันขันแข็ง. แต่เขาก็เป็นคนที่ใจร้อนและชอบดูถูกคนอื่น และเขายังแสดงปฏิกิริยารุนแรงต่อคนที่เขาถือว่าเป็นพวกหลอกลวง. ก่อนที่เขาจะสิ้นใจที่ไอสเลเบินในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1546 เหล่าเพื่อนพ้องของลูเทอร์ถามเขาว่ายังคงยืนหยัดในความเชื่อที่เขาได้สอนคนอื่นหรือไม่. เขาตอบว่า “ใช่.” ลูเทอร์สิ้นชีวิตไป แต่หลายคนก็ยังยึดถือความเชื่อนั้น.
[ภาพหน้า 27]
ลูเทอร์ต่อต้านการขายใบลดโทษบาป
[ที่มาของภาพ]
Mit freundlicher Genehmigung: Wartburg-Stiftung
[ภาพหน้า 28]
ลูเทอร์ปฏิเสธที่จะถอนคำพูดเว้นแต่ว่าผู้ที่เป็นปฏิปักษ์กับเขาจะพิสูจน์จากคัมภีร์ไบเบิลว่าเขาเป็นฝ่ายผิด
[ที่มาของภาพ]
From the book The Story of Liberty, 1878
[ภาพหน้า 29]
ห้องของลูเทอร์ในปราสาทวาร์ทบูร์กเป็นสถานที่ที่เขาใช้แปลคัมภีร์ไบเบิล
[ที่มาของภาพ]
Both images: Mit freundlicher Genehmigung: Wartburg-Stiftung
[ที่มาของภาพหน้า 26]
From the book Martin Luther The Reformer, 3rd Edition, published by Toronto Willard Tract Depository, Toronto, Ontario
[ที่มาของภาพหน้า 30]
From the book The History of Protestantism (Vol. I)