วิทยาศาสตร์จะขจัดความเจ็บป่วยในโลกนี้ไหม?
วิทยาศาสตร์จะขจัดความเจ็บป่วยในโลกนี้ไหม?
วิทยาศาสตร์สมัยใหม่จะขจัดความเจ็บป่วยในโลกนี้ไหม? คำพยากรณ์ในคัมภีร์ไบเบิลที่พระธรรมยะซายาและวิวรณ์กล่าวถึงสมัยที่มนุษย์เองจะเป็นผู้ทำให้โลกปราศจากความเจ็บป่วยไหม? เมื่อคำนึงถึงความสำเร็จหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกับการรักษาพยาบาล บางคนจึงรู้สึกว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้.
รัฐบาลและผู้ให้การสนับสนุนภาคเอกชนกำลังทำงานร่วมกันกับองค์การสหประชาชาติ ในการรณรงค์ครั้งประวัติศาสตร์เพื่อการต่อต้านโรคภัย. การร่วมมือกันครั้งหนึ่งมุ่งเน้นเรื่องการสร้างภูมิคุ้มกันให้เด็ก ๆ ในประเทศที่กำลังพัฒนา. ตามที่องค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติรายงาน ถ้าประเทศต่าง ๆ ทำได้ตามเป้าหมาย “พอถึงปี 2015 เด็ก ๆ มากกว่า 70 ล้านคนที่อาศัยอยู่ในประเทศที่ยากจนที่สุดจะได้รับวัคซีนที่ช่วยชีวิตเพื่อป้องกันโรคต่อไปนี้ทุกปี: วัณโรค, โรคคอตีบ, โรคบาดทะยัก, โรคไอกรน, โรคหัด, โรคหัดเยอรมัน, ไข้เหลือง, ฮีโมฟีลัสอินฟลูเอนซาไทป์บี, ตับอักเสบบี, โปลิโอ, โรตาไวรัส, นิวโมคอกคัส, เมนิงโกคอกคัส, และไข้สมองอักเสบญี่ปุ่น.” นอกจากนี้ยังมีการใช้มาตรการต่าง ๆ เพื่อจัดหาสิ่งจำเป็นด้านสุขภาพขั้นพื้นฐาน เช่น การมีน้ำดื่มสะอาดอย่างพอเพียง, โภชนาการที่ดีขึ้น, และสุขศึกษา.
อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ไม่เพียงแต่พยายามให้การรักษาพยาบาลขั้นพื้นฐานเท่านั้น. เทคโนโลยีล่าสุดทำให้วงการแพทย์เปลี่ยนแปลงอย่างมาก. มีการกล่าวกันว่า ราว ๆ ทุกแปดปีนักวิทยาศาสตร์จะมีความรู้ด้านการแพทย์เพิ่มขึ้นสองเท่า. ต่อไปนี้เป็นเพียงตัวอย่างบางประการของความสำเร็จทางเทคโนโลยีล่าสุดและเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้ในการต่อสู้กับความเจ็บป่วย.
▪ ภาพเอกซเรย์ เป็นเวลากว่า 30 ปีแล้วที่แพทย์และโรงพยาบาลได้ใช้เครื่องมือที่รู้จักกันว่าเครื่องซีทีสแกน. ซีที ย่อมาจากคำที่แปลว่า การกราดภาพตัดขวางด้วยคอมพิวเตอร์ (computed tomography). เครื่องซีทีสแกนสร้างภาพเอกซเรย์สามมิติของอวัยวะภายในร่างกายของเรา. ภาพเหล่านี้มีประโยชน์ในการตรวจวินิจฉัยโรคและการวิเคราะห์ความผิดปกติของอวัยวะภายใน.
แม้ว่ามีการโต้เถียงกันบ้างเกี่ยวกับอันตรายของการได้รับรังสี แต่ผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ก็มองในแง่ดีเกี่ยวกับผลประโยชน์ที่จะได้ในอนาคตของเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำนี้. ไมเคิล แวนีเยร์ ศาสตราจารย์ด้านรังสีวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยโรงพยาบาลชิคาโก กล่าวว่า “เพียงแค่ไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ความก้าวหน้าก็มีมากจนทำให้คุณมึนงงได้.”
เครื่องซีทีสแกนในปัจจุบันมีความเร็วมากขึ้น, แม่นยำมากขึ้น, และราคาถูกลง. ความเร็วของวิธีสแกนแบบใหม่ล่าสุดนั้นเป็นข้อได้เปรียบที่สำคัญอย่างหนึ่ง. เรื่องนี้เป็นจริงโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสแกนหัวใจ. เนื่องจากหัวใจเต้น
อยู่ตลอดเวลา ภาพเอกซเรย์หลายภาพจึงออกมาพร่ามัว ทำให้การวิเคราะห์อย่างแม่นยำเป็นไปได้ยาก. ดังที่วารสารนิว ไซเยนติสต์ อธิบายไว้ เครื่องสแกนรุ่นใหม่ใช้เวลา “เพียงหนึ่งในสามของวินาทีในการหมุนรอบร่างกายคนไข้หนึ่งรอบ ซึ่งเร็วกว่าจังหวะที่หัวใจเต้นหนึ่งครั้ง” และจึงทำให้ได้ภาพที่คมชัดมากขึ้น.ด้วยความช่วยเหลือของเครื่องสแกนรุ่นล่าสุด แพทย์จึงไม่เพียงแต่สามารถจับภาพรายละเอียดของอวัยวะภายในได้เท่านั้น แต่ยังสามารถตรวจสอบการทำงานของระบบชีวเคมีในบริเวณหนึ่งบริเวณใดได้อีกด้วย. ประโยชน์ด้านนี้อาจทำให้เป็นไปได้ที่จะตรวจพบมะเร็งในระยะแรก ๆ.
▪ การผ่าตัดโดยใช้หุ่นยนต์ หุ่นยนต์ที่สลับซับซ้อนไม่ได้มีอยู่แต่ในโลกของนิยายวิทยาศาสตร์อีกต่อไป อย่างน้อยที่สุดก็มีอยู่ในวงการแพทย์ด้วย. มีการนำหุ่นยนต์มาช่วยในการผ่าตัดหลายพันรายอยู่แล้วในปัจจุบัน. ในบางกรณี ศัลยแพทย์ผ่าตัดโดยใช้อุปกรณ์ที่ควบคุมด้วยรีโมทคอนโทรลซึ่งทำให้พวกเขาสามารถควบคุมแขนกลของหุ่นยนต์ได้หลายแขน. แขนกลเหล่านี้มีมีดผ่าตัด, กรรไกร, กล้อง, เครื่องจี้, และอุปกรณ์ผ่าตัดอื่น ๆ ติดอยู่. เทคโนโลยีนี้ช่วยให้ศัลยแพทย์ทำการผ่าตัดที่ยุ่งยากซับซ้อนได้ด้วยความแม่นยำสูงจนแทบไม่น่าเชื่อ. วารสารนิวส์วีก รายงานว่า “ศัลยแพทย์ที่ใช้ระบบนี้พบว่าคนไข้เสียเลือดน้อยกว่า, เจ็บน้อยกว่า, มีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนน้อยกว่า, ใช้เวลานอนพักฟื้นที่โรงพยาบาลน้อยกว่า, และฟื้นตัวเร็วกว่าเมื่อเทียบกับคนไข้ที่ได้รับการผ่าตัดแบบธรรมดา.”
▪ การแพทย์นาโน การแพทย์นาโน คือการใช้นาโนเทคโนโลยี ในวงการแพทย์. นาโนเทคโนโลยีก็คือวิทยาศาสตร์ที่ว่าด้วยการควบคุมและสร้างวัตถุที่เล็กมาก ๆ. หน่วยวัดที่ใช้ในเทคโนโลยีนี้คือนาโนเมตร ซึ่งเท่ากับหนึ่งในพันล้านส่วนของเมตร. *
เพื่อจะนึกภาพหน่วยวัดที่เล็กขนาดนั้นออก ขอให้ดูหน้ากระดาษที่คุณกำลังอ่านอยู่นี้ มันหนาประมาณ 100,000 นาโนเมตร และเส้นผมของมนุษย์มีความหนาประมาณ 80,000 นาโนเมตร. เซลล์เม็ดเลือดแดงมีเส้นผ่าศูนย์กลางราว ๆ 2,500 นาโนเมตร. แบคทีเรียมีความยาวประมาณ 1,000 นาโนเมตร และไวรัสราว ๆ 100 นาโนเมตร. ดีเอ็นเอของคุณมีเส้นผ่าศูนย์กลางราว ๆ 2.5 นาโนเมตร.
ผู้สนับสนุนเทคโนโลยีนี้เชื่อว่าในอนาคตอันใกล้นี้ นักวิทยาศาสตร์จะสามารถสร้างอุปกรณ์ขนาดจิ๋วเพื่อเข้าไปทำการรักษาภายในร่างกายมนุษย์ได้. หุ่นยนต์ขนาดจิ๋วเหล่านี้ซึ่งมักจะถูกเรียกว่า เครื่องกลนาโน จะมีคอมพิวเตอร์ขนาดจิ๋วอยู่ด้วยซึ่งถูกตั้งโปรแกรมให้ทำตามคำสั่งที่เฉพาะเจาะจงมาก. น่าทึ่ง เครื่องกลที่ค่อนข้างซับซ้อนเหล่านี้จะถูกสร้างด้วยชิ้นส่วนที่มีขนาดไม่ถึง 100 นาโนเมตร. นั่นเล็กกว่าเส้นผ่าศูนย์กลางของเซลล์เม็ดเลือดแดงถึง 25 เท่าทีเดียว!
เนื่องจากอุปกรณ์นาโนเหล่านี้มีขนาดเล็กมาก จึงหวังกันว่าสักวันหนึ่งมันจะสามารถลอดผ่านหลอดเลือดฝอยเล็ก ๆ และนำออกซิเจนไปยังเนื้อเยื่อที่ขาดเลือด, ขจัดสิ่งที่อุดตันในหลอดเลือดและขจัดปมพังผืด (plaque) จากเซลล์ประสาท, และถึงกับไล่ล่าและทำลายไวรัส, แบคทีเรีย, และเชื้อโรคอื่น ๆ. อาจมีการใช้เครื่องกลนาโนเพื่อนำยาไปรักษาเซลล์เป้าหมายโดยเฉพาะด้วย.
นักวิทยาศาสตร์คาดว่าจะสามารถตรวจพบมะเร็งได้ดีขึ้นอย่างน่าทึ่งด้วยความช่วยเหลือจากการแพทย์นาโน.
นายแพทย์แซมมูเอล วิกไลน์ ศาสตราจารย์ด้านการแพทย์, ฟิสิกส์, และวิศวกรรมชีวการแพทย์ กล่าวว่า “มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะตรวจพบมะเร็งขนาดเล็ก ๆ เร็วขึ้นกว่าแต่ก่อน และรักษาด้วยยาที่มีฤทธิ์แรงเฉพาะบริเวณที่เป็นเนื้องอกเท่านั้น และขณะเดียวกันก็ลดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายใด ๆ ลง.”แม้ว่า นี่อาจดูเหมือนเป็นการเพ้อฝันถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า แต่นักวิทยาศาสตร์บางคนก็มั่นใจว่าการแพทย์นาโนมีทางเป็นไปได้มากทีเดียว. นักวิจัยชั้นแนวหน้าในวงการนี้คาดหมายว่าภายในทศวรรษหน้า จะมีการใช้นาโนเทคโนโลยีเพื่อซ่อมแซมและจัดเรียงโครงสร้างทางโมเลกุลของเซลล์ที่มีชีวิตใหม่. ผู้สนับสนุนคนหนึ่งอ้างว่า “การแพทย์นาโนจะขจัดโรคทั่วไปแทบทุกโรคที่มีในศตวรรษที่ 20, ความทุกข์และความเจ็บปวดแทบทั้งสิ้นที่ต้องอาศัยการรักษาทางการแพทย์, และทำให้ความสามารถของมนุษย์มีมากขึ้น.” แม้แต่ในปัจจุบันนี้ นักวิทยาศาสตร์บางคนก็รายงานว่าการใช้การแพทย์นาโนกับสัตว์ในห้องทดลองก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี.
▪ พันธุศาสตร์ การศึกษาเกี่ยวกับโครงสร้างของยีนเป็นที่รู้จักกันว่าวิชาพันธุศาสตร์. ทุก ๆ เซลล์ในร่างกายมนุษย์มีส่วนประกอบหลายอย่างที่จำเป็นยิ่งต่อชีวิต. ส่วนประกอบอย่างหนึ่งคือยีน. เราทุกคนมียีนประมาณ 35,000 ยีนซึ่งเป็นตัวกำหนดสีและลักษณะของเส้นผม, สีผิวและสีตา, ส่วนสูง, และรูปร่างหน้าตาของเราแต่ละคน. ยีนของเรายังมีบทบาทสำคัญในการกำหนดคุณสมบัติของอวัยวะภายในของเราด้วย.
ถ้ายีนได้รับความเสียหาย นั่นก็อาจส่งผลต่อสุขภาพของเรา. ที่จริง นักวิจัยบางคนเชื่อว่าโรคทุกชนิดเกิดมาจากความผิดปกติของยีน. ยีนที่ผิดปกติบางตัวตกทอดมาจากพ่อแม่ของเรา. ส่วนยีนบางตัวนั้นได้รับความเสียหายจากปัจจัยทางสภาพแวดล้อมที่เป็นอันตราย.
นักวิทยาศาสตร์หวังว่า อีกไม่นานพวกเขาจะสามารถระบุได้ว่ายีนตัวไหนที่ทำให้เรามีแนวโน้มจะเป็นโรค. เรื่องนี้อาจทำให้แพทย์เข้าใจว่า ทำไมบางคนจึงมีแนวโน้มจะเป็นมะเร็งมากกว่าคนอื่น หรือทำไมมะเร็งชนิดหนึ่งจึงลุกลามในบางคนได้เร็วกว่าคนอื่น ๆ เป็นต้น. พันธุศาสตร์ยังอาจเผยให้ทราบว่าทำไมยาชนิดหนึ่งจึงใช้ได้ผลกับคนไข้บางคนแต่ไม่ได้ผลกับคนอื่น ๆ.
ข้อมูลที่เฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับยีนเช่นนี้อาจทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า การรักษาโรคเฉพาะบุคคล. คุณอาจได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีนี้อย่างไร? แนวคิดเรื่องการรักษาโรคเฉพาะบุคคลแนะว่า การรักษาพยาบาลสามารถปรับเปลี่ยนให้เข้ากับลักษณะทางพันธุกรรมเฉพาะตัวของคุณ. ตัวอย่างเช่น ถ้าการศึกษายีนของคุณเผยว่าคุณมีแนวโน้มจะเป็นโรคบางชนิด แพทย์อาจตรวจพบโรคนั้นนานก่อนที่จะแสดงอาการใด ๆ ออกมา. ผู้สนับสนุนเรื่องนี้อ้างว่า ในกรณีที่ยังไม่เป็นโรค การบำบัดดูแล, การกินอาหาร, และการเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างเหมาะสมอาจป้องกันไม่ให้โรคนั้นเกิดขึ้นเลยด้วยซ้ำ.
ยีนของคุณอาจเตือนแพทย์ให้ทราบถึงแนวโน้มที่จะเกิดปฏิกิริยาต่อต้านยาบางชนิด. ข้อมูลนี้อาจทำให้แพทย์สามารถสั่งจ่ายยาได้ถูกชนิดและในขนาดที่จำเป็นสำหรับกรณีของคุณโดยเฉพาะ. หนังสือพิมพ์เดอะ บอสตัน โกลบ รายงานว่า “พอถึงปี 2020 ผลกระทบ [ของการรักษาโรคเฉพาะบุคคล] คงจะมีกว้างไกลกว่าที่ใคร ๆ ในพวกเราทุกวันนี้จะนึกภาพออก. จะมีการพัฒนายาที่ออกแบบสำหรับคนไข้แต่ละคนโดยเฉพาะซึ่งอาศัยยีนเป็นหลักเพื่อสู้กับโรคเบาหวาน, โรคหัวใจ, โรคอัลไซเมอร์, โรคจิตเภท, และโรคอื่น ๆ อีกหลายโรคที่ก่อความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อสังคมของเรา.”
เทคโนโลยีที่กล่าวถึงข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างบางประการของสิ่งที่วิทยาศาสตร์สัญญาว่าจะมีขึ้นในอนาคต. ความรู้ทางการแพทย์ยังคงเพิ่มพูนรวดเร็วอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน. แต่นักวิทยาศาสตร์ไม่ได้คาดหมายว่าจะขจัดโรคภัยและความเจ็บป่วยทั้งสิ้นออกไปได้ในไม่ช้า. ยังคงมีอุปสรรคหลายอย่างที่ดูเหมือนจะเอาชนะไม่ได้.
อุปสรรคที่ดูเหมือนจะเอาชนะไม่ได้
พฤติกรรมของมนุษย์อาจถ่วงความก้าวหน้าในเรื่องการขจัดความเจ็บป่วยให้ช้าลง. ตัวอย่างเช่น นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าความเสียหายที่มนุษย์ก่อให้เกิดขึ้นแก่ระบบนิเวศนั้นได้ทำให้เกิดโรคที่เป็นอันตรายชนิดใหม่ ๆ บางชนิด. ในการสัมภาษณ์ในวารสารนิวส์วีก แมรี เพิร์ล ประธานองค์การกองทุนสัตว์ป่า อธิบายว่า “ตั้งแต่ตอนกลางทศวรรษ 1970 มีโรคใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากกว่า 30 โรค เช่น เอดส์, อีโบลา, โรคไลม์และซาร์ส. เชื่อกันว่า โรคเหล่านี้ส่วนใหญ่ถ่ายทอดจากสัตว์ป่ามาสู่ประชากรมนุษย์.”
นอกจากนั้น ผู้คนในปัจจุบันกินผักและผลไม้สดน้อยลง แต่กินน้ำตาล, เกลือ, และไขมันอิ่มตัวมากขึ้น. นอกจากนี้ พวกเขายังออกกำลังกายน้อยลงและมีนิสัยอื่น ๆ ที่ไม่ดีต่อสุขภาพซึ่งทำให้มีโรคเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือดเพิ่มมากขึ้น. มีคนสูบบุหรี่มากขึ้นซึ่งทำให้เกิดปัญหาสุขภาพร้ายแรงและทำให้หลายล้านคนเสียชีวิตทั่วโลก. ทุกปีมีผู้คนราว ๆ 20 ล้านคนบาดเจ็บสาหัสหรือเสียชีวิตเนื่องจากอุบัติเหตุทางรถยนต์. สงครามและความรุนแรงในรูปแบบอื่นก็ทำให้คนจำนวนนับไม่ถ้วนทุพพลภาพและเสียชีวิต. หลายล้านคนมีสุขภาพที่ไม่ดีเนื่องจากดื่มจัดและใช้ยาเสพติด.
ข้อเท็จจริงก็คือไม่ว่าสาเหตุจะเกิดจากอะไร และไม่ว่าเทคโนโลยีทางการแพทย์จะก้าวล้ำไปมากสักเพียงไร โรคบางชนิดก็ยังคงก่อความทุกข์อย่างหนัก. ตามที่องค์การอนามัยโลกกล่าว ‘ผู้คนมากกว่า 150 ล้านคนเป็นโรคซึมเศร้าในช่วงใดช่วงหนึ่ง, ประมาณ 25 ล้านคนเป็นโรคจิตเภท, และ 38 ล้านคนเป็นโรคลมชัก.’ หลายล้านคนติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์, ท้องร่วง, มาลาเรีย, หัด, ปอดบวม, และวัณโรค ทำให้เด็กและผู้ที่ย่างเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ต้องเสียชีวิตไปเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน.
มีอุปสรรคอย่างอื่นที่ดูเหมือนจะเอาชนะไม่ได้ซึ่งขัดขวางการกำจัดโรคภัยให้หมดสิ้นไปด้วย. ความยากจนและการบริหารงานที่ไม่ดีของรัฐบาลเป็นอุปสรรคใหญ่สองประการ. ในรายงานเมื่อไม่นานมานี้ องค์การอนามัยโลกกล่าวว่า คนนับล้านที่เสียชีวิตด้วยโรคติดเชื้ออาจรอดชีวิตได้ถ้ารัฐบาลไม่ล้มเหลวในการจัดการหรือถ้าไม่ขาดเงินทุน.
ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการแพทย์ที่น่าตื่นตาตื่นใจจะช่วยให้เอาชนะอุปสรรคเหล่านี้ได้ไหม? อีกไม่นานเราจะได้เห็นโลกที่ไม่มีความเจ็บป่วยไหม? จริงอยู่ ปัจจัยต่าง ๆ ที่พรรณนาข้างต้นไม่ได้ให้คำตอบที่ชัดเจน. อย่างไรก็ตาม คัมภีร์ไบเบิลมีคำตอบที่ชัดเจนสำหรับคำถามนี้. บทความถัดไปจะพิจารณาสิ่งที่คัมภีร์ไบเบิลกล่าวเกี่ยวกับความหวังที่ความเจ็บป่วยจะไม่มีอีกต่อไปในอนาคต.
[เชิงอรรถ]
^ วรรค 10 หน่วยคำเติมหน้า “นาโน” มาจากคำกรีกสำหรับคนแคระ แปลว่า “หนึ่งในพันล้านส่วน.”
[กรอบ/ภาพหน้า 7]
ภาพเอกซเรย์
การมองเห็นภาพร่างกายมนุษย์ที่คมชัดและแม่นยำขึ้นอาจช่วยตรวจพบโรคที่เป็นในระยะแรก ๆ ได้
[ที่มาของภาพ]
© Philips
Siemens AG
การผ่าตัดโดยใช้หุ่นยนต์
หุ่นยนต์ที่มีอุปกรณ์ผ่าตัดช่วยแพทย์ให้ทำการผ่าตัดที่ยุ่งยากซับซ้อนมากโดยมีความแม่นยำสูงอย่างเหลือเชื่อ
[ที่มาของภาพ]
© 2006 Intuitive Surgical, Inc.
การแพทย์นาโน
เครื่องกลขนาดจิ๋วที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นอาจช่วยแพทย์ให้รักษาความเจ็บป่วยในระดับเซลล์ได้. ภาพนี้เป็นภาพที่จิตรกรได้สร้างขึ้น ซึ่งแสดงให้เห็นเครื่องกลนาโนซึ่งจะเลียนแบบหน้าที่ของเซลล์เม็ดเลือดแดง
[ที่มาของภาพ]
Artist: Vik Olliver (vik@diamondage.co.nz)/ Designer: Robert Freitas
พันธุศาสตร์
โดยการศึกษาโครงสร้างยีนของแต่ละคน นักวิทยาศาสตร์หวังว่าจะตรวจพบและรักษาความเจ็บป่วยแม้แต่ก่อนที่คนนั้นจะแสดงอาการใด ๆ ออกมา
[ที่มาของภาพ]
Chromosomes: © Phanie/ Photo Researchers, Inc.
[กรอบหน้า 8, 9]
ศัตรูหกอย่างที่ยังปราบไม่ได้
ความรู้ทางการแพทย์และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องยังคงพัฒนาไปในอัตราที่รวดเร็วอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน. ทั้ง ๆ ที่เป็นเช่นนี้ ภัยจากโรคติดเชื้อก็ยังคงก่อความเสียหายแก่โลก. โรคมรณะที่มีรายชื่อข้างล่างนี้ยังคงปราบไม่ได้.
เอชไอวี/เอดส์
มีผู้คนราว ๆ 60 ล้านคนติดเชื้อเอชไอวี และราว ๆ 20 ล้านคนเสียชีวิตไปแล้วเนื่องจากเอดส์. ระหว่างปี 2005 มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ห้าล้านคนและมีผู้เสียชีวิตจากสาเหตุซึ่งเกี่ยวข้องกับเอดส์สามล้านคน. ผู้ตกเป็นเหยื่อรวมไปถึงเด็ก ๆ กว่า 500,000 คน. ผู้ติดเชื้อเอชไอวีส่วนใหญ่ไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม.
ท้องร่วง
โรคนี้ถูกเรียกว่าสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ในหมู่คนจน โดยมีการป่วยราว ๆ สี่พันล้านรายทุกปี. โรคนี้เกิดจากโรคติดเชื้อหลายชนิดซึ่งสามารถแพร่ระบาดได้โดยทางน้ำหรืออาหารที่ปนเปื้อน หรือการขาดสุขอนามัยส่วนตัว. การติดเชื้อนี้ยังผลให้มีผู้เสียชีวิตปีละมากกว่าสองล้านคน.
มาลาเรีย
ในแต่ละปี ประมาณ 300 ล้านคนป่วยเนื่องจากมาลาเรีย. ผู้ป่วยราว ๆ หนึ่งล้านคนเสียชีวิตทุกปีซึ่งหลายคนเป็นเด็ก. ในแอฟริกา มีเด็กเสียชีวิตเนื่องจากมาลาเรียประมาณหนึ่งคนในทุก ๆ 30 วินาที. ตามรายงานขององค์การอนามัยโลก “วิทยาศาสตร์ยังไม่พบวิธีแก้ที่ได้ผลและรวดเร็วในการรักษามาลาเรีย และหลายคนสงสัยจริง ๆ ว่าทางแก้ทางเดียวเช่นนั้นจะมีอยู่จริงไหม.”
หัด
ระหว่างปี 2003 โรคหัดทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 500,000 คน. โรคนี้เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ท่ามกลางเด็ก และเป็นโรคที่ติดต่อกันง่ายมาก. ทุกปีมีประมาณ 30 ล้านคนติดเชื้อหัด. น่าแปลก วัคซีนที่ใช้ได้ผลและราคาไม่แพงเพื่อป้องกันโรคหัดก็มีให้ใช้มานานถึง 40 ปีแล้ว.
ปอดบวม
องค์การอนามัยโลกกล่าวว่ามีเด็กเสียชีวิตเพราะโรคปอดบวมมากกว่าโรคติดเชื้อชนิดอื่นใด. เด็กประมาณสองล้านคนที่มีอายุต่ำกว่าห้าขวบเสียชีวิตด้วยโรคปอดบวมทุกปี. การเสียชีวิตเนื่องจากสาเหตุนี้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นที่แอฟริกาและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้. ในหลายส่วนของโลก การขาดแคลนสถานพยาบาลทำให้ผู้ป่วยหลายคนไม่ได้รับการรักษาที่จะช่วยชีวิตเขาได้.
วัณโรค
ในปี 2003 วัณโรคทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 1,700,000 คน. สิ่งที่เจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุขเป็นห่วงมากก็คือ มีเชื้อวัณโรคสายพันธุ์ที่ดื้อยาปรากฏขึ้น. บางสายพันธุ์ได้พัฒนาจนสามารถต้านทานยารักษาวัณโรคหลัก ๆ ได้ทุกชนิด. วัณโรคชนิดที่ดื้อยานี้เกิดขึ้นกับคนไข้ที่ได้รับการรักษาที่มีการดูแลไม่ดีพอหรือไม่ครบถ้วน.
[กรอบ/ภาพหน้า 9]
การแพทย์ทางเลือกกำลังเป็นที่นิยมมากขึ้น
มีวิธีการรักษาโรคหลายวิธีที่ไม่ได้รับการยอมรับจากผู้ประกอบวิชาชีพด้านการแพทย์ทั่วไป. วิธีเหล่านี้เป็นที่รู้จักกันทั่วไปว่าการแพทย์แบบพื้นบ้านและการแพทย์ทางเลือก. ในประเทศกำลังพัฒนา ประชากรส่วนใหญ่อาศัยการแพทย์แบบพื้นบ้านเมื่อเจ็บป่วย. ในย่านคนยากจน หลายคนไม่สามารถไปรับการรักษาแบบทั่วไปได้ ส่วนบางคนชอบวิธีรักษาแบบพื้นบ้านมากกว่า.
การแพทย์ทางเลือกก็มีแพร่หลายมากเช่นกันในประเทศร่ำรวย. การรักษาแบบทางเลือกซึ่งนิยมกันมากที่สุดก็คือการฝังเข็ม, ไคโรแพรกติก, โฮมีโอพาธี, ธรรมชาติบำบัด, และการรักษาด้วยสมุนไพร. วิธีรักษาเหล่านี้บางอย่างได้รับการศึกษาวิจัยตามหลักวิทยาศาสตร์และพิสูจน์แล้วว่ามีประโยชน์ต่อการรักษาอาการป่วยบางอย่าง. อย่างไรก็ตาม วิธีการบางอย่างยังไม่ได้รับการพิสูจน์อย่างเพียงพอว่าได้ผลจริง. การที่ผู้คนนิยมใช้วิธีรักษาแบบทางเลือกมากขึ้นทำให้เกิดประเด็นเรื่องความปลอดภัยบ้าง. ในหลายประเทศ การบำบัดรักษาด้วยวิธีเหล่านี้ยังไม่มีการควบคุมดูแล. นี่ทำให้เกิดสภาพการณ์ที่มีการใช้ยาด้วยตนเองซึ่งกลายเป็นอันตราย, มีผลิตภัณฑ์ปลอม, และหมอเถื่อนเกิดขึ้นมากมาย. แม้ว่าจะมีเจตนาดี แต่เพื่อนและญาติที่ขาดการฝึกอบรมอย่างเพียงพอก็มักจะตั้งตัวเป็นคนรักษาเสียเอง. ทั้งหมดนี้ทำให้เกิดผลเสียและอันตรายอื่น ๆ ทางสุขภาพ.
ในหลายประเทศที่มีข้อกำหนด วิธีรักษาทางเลือกก็ได้รับการยอมรับในชุมชนแพทย์ทั่วไปและแพทย์เองก็ให้การรักษาในวิธีนี้ด้วย. กระนั้น ดูเหมือนยังไม่มีคำกล่าวอ้างที่เชื่อถือได้ที่ว่าวิธีรักษาแบบนี้จะทำให้ความเจ็บป่วยหมดไปจากโลกนี้ได้.