ฉันจะเริ่มนัดพบได้เมื่อไร?
หนุ่มสาวถามว่า . . .
ฉันจะเริ่มนัดพบได้เมื่อไร?
“ที่โรงเรียน คุณจะรู้สึกว่าตัวเองไม่ปกติถ้าไม่ได้นัดพบกับใครบางคน—ใครก็ได้!”—บริตทานี.
“มีความกดดันมากจริง ๆ รอบตัวฉันให้นัดพบ. แถมยังมีหนุ่มหล่อหน้าตาดีอยู่ตั้งเยอะ.”—วิตนีย์.
▪ คุณเห็นหนุ่มสาวคู่หนึ่งเดินจูงมือกันไปเรื่อย ๆ ตามทางเดินระหว่างคาบเรียน. คุณรู้สึกอย่างไร?
□ เฉย ๆ
□ อิจฉานิด ๆ
□ อิจฉามาก
▪ คุณไปดูหนังกับเพื่อน แล้วคุณก็เห็นว่าทุกคนมากันเป็นคู่—ยกเว้นคุณ! คุณรู้สึกอย่างไร?
□ เฉย ๆ
□ อิจฉานิด ๆ
□ อิจฉามาก
▪ เมื่อไม่นานมานี้เพื่อนสนิทของคุณเริ่มแสดงท่าทีว่าสนใจเพื่อนต่างเพศคนหนึ่งแล้วตอนนี้ก็กำลังนัดพบกัน. คุณรู้สึกอย่างไร?
□ เฉย ๆ
□ อิจฉานิด ๆ
□ อิจฉามาก
หากคุณอ่านคำถามที่ยกขึ้นมาข้างต้นนี้คำถามใดคำถามหนึ่งแล้วเกิดความรู้สึก “อิจฉานิด ๆ” หรือ “อิจฉามาก” คุณก็ไม่ได้เป็นคนเดียวที่รู้สึกอย่างนั้น. ในดินแดนที่การนัดพบถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติปกติ หนุ่มสาวหลายคนก็พูดทำนองเดียวกันนี้. “บางครั้ง คุณจะรู้สึกว่าขาดอะไรบางอย่างไป นั่นเป็นเพราะเพื่อนในวัยเดียวกับคุณต่างมีแฟนกันหมดแล้ว แต่คุณยังไม่มี” อีเวต อายุ 14 ปีกล่าว.
ความรู้สึกที่อยากอยู่ใกล้ชิดคนพิเศษ และการได้อยู่กับคนที่คิดว่าคุณเป็นคนพิเศษ อาจเป็นความรู้สึกที่รุนแรงมากอย่างไม่น่าเชื่อ. เด็กหนุ่มคนหนึ่งกล่าวว่า “ความรู้สึกที่อยากมีแฟนสักคนนั้นรุนแรงขึ้นทุกวัน และรับมือได้ยากเหลือเกิน!” ที่จริง บางคนเริ่มนัดพบตั้งแต่อายุยังน้อย. ตัวอย่างเช่น จากการสำรวจของนิตยสารไทม์ เผยให้เห็นว่า 25 เปอร์เซ็นต์ของเด็กอายุ 13 ปีมี “การนัดพบ” กันแล้ว. คุณคิดว่าพวกเขาพร้อมสำหรับการนัดพบแล้วไหม? คุณพร้อมจะนัดพบแล้วหรือยัง? เพื่อตอบคำถามนี้ ก่อนอื่นเราต้องพิจารณาคำถามพื้นฐานข้อหนึ่ง.
“การนัดพบ” คืออะไร?
▪ คุณไปไหนมาไหนกับเพื่อนต่างเพศคนหนึ่งเป็นประจำ.
คุณกำลังนัดพบไหม? □ ใช่ □ ไม่ใช่
คุณส่งข้อความหรือคุยโทรศัพท์กับเพื่อนต่างเพศคนหนึ่งโดยเฉพาะ วันละหลาย ๆ ครั้ง.
คุณกำลังนัดพบไหม? □ ใช่ □ ไม่ใช่
▪ คุณแอบคบกับเพศตรงข้ามคนหนึ่ง. พ่อแม่ไม่ทราบเรื่องนี้. คุณไม่บอกพวกท่านเพราะรู้ว่าท่านต้องไม่เห็นด้วย.
คุณกำลังนัดพบไหม? □ ใช่ □ ไม่ใช่
▪ ทุกครั้งที่ไปด้วยกันกับเพื่อน ๆ คุณจะควงคู่กับเพื่อนต่างเพศคนเดิม.
คุณกำลังนัดพบไหม? □ ใช่ □ ไม่ใช่
คุณคงตอบคำถามข้อแรกได้อย่างไม่มีปัญหา แต่คุณอาจต้องหยุดคิดสักครู่หนึ่งก่อนตอบคำถามข้ออื่น ๆ. จริง ๆ แล้วการนัดพบคืออะไรกันแน่? ในการพิจารณานี้ เราจะนิยามการนัดพบว่า เป็นกิจกรรมทางสังคมที่คุณมุ่งแสดงความรักแบบหนุ่มสาวไปที่ใครคนหนึ่งโดยเฉพาะแล้วคนนั้นก็แสดงความรู้สึกเช่นนั้นกับคุณด้วย. ไม่ว่าจะอยู่ด้วยกันเป็นกลุ่มหรืออยู่ตามลำพัง, คุยกันทางโทรศัพท์หรือมาเจอหน้ากัน, ในที่สาธารณะหรือในที่ลับตาคน หากคุณกับเพื่อนต่างเพศยอมรับว่ามีใจให้กัน นั่นถือว่าเป็นการนัดพบ.
แต่คุณพร้อมสำหรับการนัดพบแล้วไหม? การพิจารณาคำถามสามข้อจะช่วยคุณให้ได้คำตอบ.
เป้าหมายของคุณคืออะไร?
ในหลายวัฒนธรรม การนัดพบถือเป็นวิธีที่ยอมรับได้เพื่อให้คนสองคนได้รู้จักคุ้นเคยกันมากขึ้น. แต่การนัดพบควรมีเป้าหมายที่สูงส่ง คือเพื่อช่วยชายหนุ่มและหญิงสาวตัดสินใจได้ว่าเขาทั้งสองจะเป็นคู่ครองที่เหมาะสมของกันและกันหรือไม่. เพราะเหตุใด?
คัมภีร์ไบเบิลใช้วลี “ความเปล่งปลั่งแห่งวัยหนุ่มสาว” เพื่อพรรณนาถึงวัยที่ความรู้สึกทางเพศและอารมณ์รัก ๆ ใคร่ ๆ เริ่มรุนแรงขึ้น. (1 โกรินโธ 7:36, ล.ม.) การที่คุณยังคบหาใกล้ชิดกับเพศตรงข้ามคนหนึ่งโดยเฉพาะขณะที่ยังอยู่ใน “ความเปล่งปลั่งแห่งวัยหนุ่มสาว” อาจกระพือไฟแห่งความปรารถนาให้ลุกโชนขึ้นและทำให้คุณต้องได้รับบทเรียนอันขมขื่นตามถ้อยคำแห่งสติปัญญาที่กล่าวไว้ในฆะลาเตีย 6:7 ที่ว่า “คนใดหว่านพืชอย่างใดลง, ก็จะเกี่ยวเก็บผลอย่างนั้น.”
จริงอยู่ หนุ่มสาววัยเดียวกับคุณอาจนัดพบกันโดยไม่มีเป้าหมายจะสมรส. พวกเขาอาจมองว่าเพื่อนที่เป็นเพศตรงข้ามเป็นเพียงรางวัลที่แสดงถึงความสำเร็จหรือเป็นเพียงเครื่องประดับเอาไว้อวดใคร ๆ เพื่อทำให้ตัวเองภูมิใจมากขึ้น. การทำเล่น ๆ กับอารมณ์ความรู้สึกของใครบางคนแบบนี้เป็นการกระทำที่โหดร้าย และไม่แปลกเลยที่ความสัมพันธ์แบบนี้มักไม่จีรังยั่งยืน. เด็กสาวคนหนึ่งชื่อเฮเทอร์พูดว่า “หนุ่มสาวหลายคนที่นัดพบกันกลับเลิกรากันภายในหนึ่งหรือสองสัปดาห์ต่อมา. พวกเขามองว่านี่เป็นความสัมพันธ์แบบชั่วคราว ซึ่งในแง่หนึ่งแล้วก็เตรียมพวกเขาไว้สำหรับการหย่าร้างกันแทนที่จะเป็นการสมรส.”
การนัดพบแบบเล่น ๆ ซึ่งก็คือการควงกันแบบสนุก ๆ หรือเพียงเพื่อจะพูดได้ว่าคุณมีแฟนแล้ว อาจทำให้เกิดความรู้สึกเจ็บปวดได้ง่าย ๆ. ขอพิจารณาอีริก หนุ่มวัย 18 ปีซึ่งคบหากับเด็กสาวคนหนึ่งในแบบที่เขาคิดด้วยความบริสุทธิ์ใจว่าเป็นเพียงเพื่อนสนิท. ครั้นแล้วเขาก็ได้มารู้ว่า เธอคิดไปไกลกว่านั้นอีก. อีริกบอกว่า “โอ้โฮ! ผมแปลกใจที่เธอคิดจริงจังกับผมขนาดนั้น. ผมคิดว่าเราเป็นแค่เพื่อนกันจริง ๆ!”
แน่นอน ไม่ผิดที่จะคบหากับเพื่อนต่างเพศแบบเป็นกลุ่มโดยที่มีการดูแลอย่างเหมาะสม. แต่ในเรื่องการนัดพบแล้ว ดีกว่าที่จะรอให้คุณผ่านช่วงความเปล่งปลั่งแห่งวัยหนุ่มสาวและพร้อมที่จะคิดถึงเรื่องการสมรสอย่างจริงจัง. นี่เป็นสิ่งที่เชลซี เด็กสาวคนหนึ่งได้มาตระหนัก. เธอยอมรับว่า “บางครั้งฉันคิดว่าการนัดพบน่าจะทำเพียงเพื่อความสนุก ทว่ามันไม่ใช่เรื่องสนุก เมื่อคนหนึ่งคิดจริงจังแต่อีกคนไม่คิดอย่างนั้น.”
คุณอายุเท่าไร?
▪ คุณคิดว่าหนุ่มสาวควรอายุสักเท่าไรจึงเหมาะที่จะเริ่มนัดพบ? ․․․․․․․․․․
▪ คราวนี้ถามคุณพ่อหรือคุณแม่ หรือถามท่านทั้งสองด้วยคำถามเดียวกันและจดคำตอบไว้. ․․․․․․․․․․
เป็นไปได้ว่าตัวเลขแรกซึ่งคุณเขียนไว้จะต่ำกว่าตัวเลขที่สอง. หรืออาจจะไม่! คุณอาจเป็นคนหนึ่งในท่ามกลางหนุ่มสาวหลายคนที่ชะลอเรื่องการนัดพบเอาไว้อย่างสุขุมรอบคอบจนกว่าพวกเขาจะอายุมากพอถึงขั้นรู้จักตัวเองดีขึ้น. นี่คือสิ่งที่คริสเตียนสาวชื่อซอนดราได้ตัดสินใจทำ แม้ว่าเธอบรรลุนิติภาวะและสมรสได้แล้ว. ซอนดราให้เหตุผลว่า “ในระหว่างที่กำลังนัดพบกัน คุณต้องการให้อีกฝ่ายหนึ่งรู้จักตัวตนของคุณ. แต่ถ้าคุณยังไม่รู้จักตัวเองแล้วคุณจะคาดหมายให้คนอื่นเข้าใจคุณได้อย่างไร?”
ดาเนียล สาววัย 17 ปีรู้สึกคล้ายกัน. เธอกล่าวว่า “เมื่อคิดถึงสิ่งที่ฉันมองหาจากคนที่จะมาเป็นคู่ครองเมื่อสองปีก่อนกับในตอนนี้ มันช่างแตกต่างกันเหลือเกิน. จริง ๆ แล้ว แม้กระทั่งตอนนี้ฉันก็ยังไม่ไว้ใจตัวเองที่จะตัดสินใจในเรื่อง
นั้น. เมื่อฉันรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่ได้สักสองสามปีแล้ว ฉันค่อยคิดถึงเรื่องการนัดพบ.”คุณพร้อมจะสมรสไหม?
เนื่องจากการนัดพบเป็นก้าวแรกที่จะนำไปสู่การสมรส เป็นการสุขุมที่จะถามตัวเองว่า คุณสามารถรับผิดชอบหน้าที่ของการเป็นสามีหรือภรรยาหรือกระทั่งเป็นพ่อหรือแม่ได้หรือไม่. คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าคุณพร้อมสำหรับเรื่องนี้แล้ว? ขอพิจารณาสิ่งต่อไปนี้.
▪ ความสัมพันธ์ คุณปฏิบัติกับพ่อแม่และพี่ ๆ น้อง ๆ อย่างไร? คุณมักจะอารมณ์เสียใส่พวกเขา หรือไม่ก็พูดจาก้าวร้าวหรือประชดประชันไหม? พวกเขาพูดถึงคุณอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้? วิธีที่คุณปฏิบัติต่อสมาชิกในครอบครัวจะบ่งบอกได้ว่าคุณจะปฏิบัติต่อคู่ของคุณอย่างไร.—เอเฟโซ 4:31, 32.
▪ การเงิน คุณจัดการเรื่องเงินได้ดีเพียงไร? คุณมักเป็นหนี้อยู่เสมอไหม? คุณเปลี่ยนงานหรือตกงานอยู่บ่อย ๆ ไหม? ถ้าใช่ เพราะอะไร? เป็นเพราะงานที่ทำ? เพราะนายจ้าง? หรือเป็นเพราะลักษณะนิสัยที่ไม่ดีบางอย่างของคุณ? หากคุณไม่สามารถจัดการกับเงินของคุณเองได้อย่างน่าเชื่อถือ คุณจะจัดการเรื่องนี้ให้ครอบครัวได้อย่างไร?—1 ติโมเธียว 5:8.
▪ สภาพฝ่ายวิญญาณ หากคุณเป็นพยานพระยะโฮวา คุณลักษณะฝ่ายวิญญาณของคุณเป็นอย่างไร? คุณเป็นฝ่ายริเริ่มที่จะอ่านพระคำของพระเจ้า, เข้าร่วมในงานรับใช้, และมีส่วนร่วมในการประชุมคริสเตียนไหม? หากคุณไม่รักษาสภาพฝ่ายวิญญาณของตัวเอง คุณจะสนับสนุนคู่ของคุณให้ทำเช่นนั้นได้อย่างไร?—2 โกรินโธ 13:5.
นี่เป็นเพียงบางสิ่งที่คุณจำเป็นต้องพิจารณาหากคุณกำลังคิดเรื่องการนัดพบและการสมรส. ในระหว่างนี้ คุณอาจติดต่อคบหากับเพศตรงข้ามแบบเป็นกลุ่มอย่างเหมาะสม. หลังจากนั้น หากคุณเลือกจะนัดพบ คุณจะรู้จักตัวเองดีขึ้นและรู้ว่าต้องการอะไรจากคู่ชีวิตที่จะอยู่ด้วยกันตลอดไป.
เคล็ดลับสำหรับความสุขในครอบครัว
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมสามารถอ่านได้ที่หน้า 13-26 ของหนังสือเล่มนี้ซึ่งจัดพิมพ์โดยพยานพระยะโฮวา.
ถ้าต้องการอ่านบทความชุด “หนุ่มสาวถามว่า” เพิ่มเติม ให้ดาวน์โหลดตื่นเถิด! ฉบับอื่น ๆ จากเว็บไซต์ www.jw.org
สิ่งที่พึงใคร่ครวญ
▪ ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมเช่นไรที่คุณสามารถคบหากับเพื่อนต่างเพศได้?
▪ คุณลักษณะอะไรที่คุณจำเป็นต้องฝึกฝนเพื่อจะเป็นคู่ครองที่ดีได้?
[กรอบ/ภาพหน้า 28]
สิ่งที่คนรุ่นเดียวกันกับคุณบอก
“บางครั้งผมนึกอิจฉาคู่ที่นัดพบกัน แม้แต่คู่ที่แต่งงานกันแล้ว. แต่การนัดพบไม่ใช่สิ่งที่ทำเพียงเพื่อความสนุก. หากทำอย่างนั้น คุณกำลังทำเล่น ๆ กับหัวใจของใครบางคน. ผมคิดว่าเรานัดพบเพื่อจะดูว่าคนนั้นเป็นคนที่เราต้องการจะแต่งงานด้วยจริง ๆ ไหม.”—เบลน, 17 ปี.
“ฉันคิดว่าคุณไม่ควรนัดพบกับพวกหนุ่ม ๆ เพียงเพื่อจะ ‘ซ้อมเอาไว้’ เผื่อวันหนึ่งจะพบกับคนที่คุณชอบจริง ๆ. นั่นอาจทำให้เกิดความเจ็บปวดรวดร้าวใจได้.” —เชลซี, 17 ปี.
“ฉันคิดว่าจริง ๆ แล้วคุณควรมีอายุมากพอที่จะแต่งงานได้ก่อนจึงค่อยเริ่มนัดพบกัน. ไม่อย่างนั้น มันจะเหมือนกับการไปสอบสัมภาษณ์งานทั้ง ๆ ที่คุณยังเรียนอยู่ในโรงเรียนและไม่ตั้งใจที่จะทำงานนั้นจริง ๆ.”—ซอนดรา, 21 ปี.
[กรอบหน้า 30]
ถึงบิดามารดา
ไม่ช้าก็เร็ว ปัญหาเรื่องการนัดพบต้องเกิดขึ้นกับลูกของคุณอย่างแน่นอน. ฟิลลิปบอกว่า “ผมไม่ต้องทำอะไรเลยด้วยซ้ำ! พวกสาว ๆ ชวนผมไปเที่ยว และผมยืนคิดอยู่ตรงนั้นว่า ‘นี่ฉันจะทำยังไงดี?’ มันยากที่จะปฏิเสธเพราะสาว ๆ บางคนในกลุ่มนั้นสวยบาดใจเหลือเกิน!”
สิ่งดีที่สุดซึ่งคุณผู้เป็นบิดามารดาสามารถทำได้ก็คือ พูดคุยกับลูกวัยรุ่นเรื่องการนัดพบ. คุณอาจจะลองใช้บทความนี้เป็นพื้นฐานในการสนทนาก็ได้. พยายามสังเกตว่าลูกชายหรือลูกสาวของคุณรู้สึกอย่างไรกับข้อท้าทายที่เจอในโรงเรียนหรือแม้แต่ที่ประชาคมคริสเตียน. บางครั้งการพูดคุยเรื่องนี้อาจจะทำในโอกาสที่ไม่เป็นทางการ เช่น ตอน “นั่งอยู่ในเรือน เดินอยู่ตามทาง.” (พระบัญญัติ 6:6, 7, ฉบับแปลใหม่) ไม่ว่าในตอนไหน อย่าลืมที่จะ “ว่องไวในการฟัง, ช้าในการพูด.”—ยาโกโบ 1:19.
หากลูกชายหรือลูกสาวแสดงความสนใจเพศตรงข้ามบางคน อย่าตื่นตกใจ. เด็กสาวคนหนึ่งพูดว่า “พอพ่อรู้ว่าฉันมีแฟน ท่านหัวเสียมาก! พ่อพยายามทำให้ฉันกลัวโดยถามแต่ว่าฉันพร้อมจะแต่งงานแล้วหรือ ซึ่งคำถามแบบนี้อาจทำให้คุณที่ยังเป็นเด็กอยู่รู้สึกว่าอยากคบกันต่อไปเรื่อย ๆ เพื่อพิสูจน์ว่าพ่อกับแม่คิดผิด!”
เมื่อลูกวัยรุ่นของคุณรู้ว่าไม่ควรแม้แต่จะยกเรื่องการนัดพบขึ้นมาพูด บางครั้งอาจเกิดเรื่องน่าเศร้าขึ้น: ลูกอาจแอบคบกันและนัดพบกันแบบลับ ๆ. เด็กสาวคนหนึ่งพูดว่า “เมื่อพ่อแม่แสดงปฏิกิริยามากเกินไป นั่นมีแต่จะทำให้ลูก ๆ ยิ่งอยากปกปิดเรื่องความสัมพันธ์ดังกล่าว. พวกเขาจะไม่เลิก. แต่พวกเขาจะยิ่งแอบคบกันมากขึ้น.”
คุณจะได้รับผลที่ดีกว่ามากหากมีการพูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมา. หญิงสาวอายุ 20 ปีคนหนึ่งกล่าวว่า “พ่อและแม่คุยกับฉันอย่างเปิดอกเสมอเรื่องการนัดพบ. เป็นเรื่องสำคัญสำหรับพวกท่านที่จะทราบว่าฉันสนใจใครอยู่ และฉันคิดว่านั่นดีมาก! พ่อจะพูดกับเขา. หากมีเรื่องไหนน่าเป็นห่วง พ่อกับแม่ก็จะบอกฉัน. ปกติแล้วฉันตัดสินใจว่าจะไม่สนใจชายหนุ่มคนนั้นก่อนถึงขั้นนัดพบ.”
[ภาพหน้า 29]
การคบหากับเพื่อนต่างเพศแบบเป็นกลุ่มในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมเป็นเรื่องที่ดีงามและเป็นประโยชน์