กิจการของอัครสาวก 22:1-30
เชิงอรรถ
ข้อมูลสำหรับศึกษา
ภาษาฮีบรู: ในพระคัมภีร์คริสเตียนภาคภาษากรีก ผู้เขียนพระคัมภีร์ใช้คำว่า “ฮีบรู” เพื่อหมายถึงภาษาที่ชาวยิวพูดกัน (ยน 19:13, 17, 20; กจ 21:40; 22:2; วว 9:11; 16:16) และเป็นภาษาที่พระเยซูพูดกับเซาโลที่มาจากเมืองทาร์ซัสหลังจากท่านฟื้นขึ้นจากตายและกลับไปสวรรค์แล้ว (กจ 26:14, 15) และที่ กจ 6:1 ก็พูดถึงสาวก 2 กลุ่มคือ “สาวกที่พูดภาษาฮีบรู” และ “สาวกที่พูดภาษากรีก” ถึงแม้ผู้เชี่ยวชาญด้านพระคัมภีร์บางคนบอกว่าข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ควรใช้คำว่า “ภาษาอาราเมอิก” ไม่ใช่ “ภาษาฮีบรู” แต่มีเหตุผลที่ดีที่จะเชื่อว่าการใช้คำว่า “ภาษาฮีบรู” ถูกต้องกว่า ครั้งหนึ่งลูกาบอกว่าเปาโลพูดกับชาวกรุงเยรูซาเล็ม “เป็นภาษาฮีบรู” เพราะตอนนั้นเปาโลกำลังพูดกับคนที่ศึกษากฎหมายของโมเสสที่เขียนเป็นภาษาฮีบรู นอกจากนั้น เมื่อสำรวจชิ้นส่วนและเอกสารในม้วนหนังสือทะเลตายทั้งส่วนที่เป็นพระคัมภีร์และไม่ใช่พระคัมภีร์ที่เขียนในภาษาฮีบรูก็พบว่า เอกสารเหล่านั้นส่วนใหญ่เขียนในภาษาฮีบรู แสดงว่าภาษาฮีบรูเป็นภาษาที่ใช้ในชีวิตประจำวัน นอกจากนั้น เอกสารเหล่านั้นบางส่วนก็เขียนในภาษาอาราเมอิกด้วย แสดงว่าในตอนนั้นมีการใช้ทั้งภาษาฮีบรูและอาราเมอิก ดังนั้น ถ้าผู้เขียนพระคัมภีร์ใช้คำว่า “ภาษาฮีบรู” เขาก็ไม่น่าจะหมายถึงภาษาอาราเมอิกหรือภาษาซีเรีย (กจ 21:40; 22:2; เทียบกับ กจ 26:14) พระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรูที่ 2พก 18:26 ก็พูดถึงทั้ง “ภาษาอาราเมอิก” และ “ภาษาของชาวยิว” ซึ่งโยเซฟุสนักประวัติศาสตร์ชาวยิวในศตวรรษแรกคิดว่าข้อคัมภีร์นี้พูดถึง 2 ภาษาที่แตกต่างกัน คือภาษาอาราเมอิกและภาษาฮีบรู (Jewish Antiquities, X, 8 [i, 2]) จริงอยู่ที่บางคำในภาษาอาราเมอิกและฮีบรูมีความคล้ายคลึงกันและมีบางคำในภาษาฮีบรูเอามาจากภาษาอาราเมอิก แต่ดูเหมือนไม่มีเหตุผลที่ผู้เขียนพระคัมภีร์ภาคภาษากรีกจะใช้คำว่าภาษาฮีบรูเพื่อหมายถึงภาษาอาราเมอิก
ภาษาฮีบรู: ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ ยน 5:2
กามาลิเอล: เป็นอาจารย์สอนกฎหมายของโมเสสที่มีการพูดถึง 2 ครั้งในหนังสือกิจการ คือในข้อนี้และที่ กจ 22:3 ผู้คนคิดกันว่าเขาเป็นคนเดียวกับกามาลิเอลผู้อาวุโสที่พูดถึงในหนังสือทั่วไปอื่น ๆ กามาลิเอลเป็นหลานหรืออาจเป็นลูกของฮิลเลลผู้อาวุโสที่เป็นผู้ก่อตั้งสำนักหนึ่งของลัทธิฟาริสีที่มีความคิดแบบเสรีนิยม กามาลิเอลได้รับความเคารพนับถืออย่างสูง ว่ากันว่าเขาเป็นคนแรกที่ได้ตำแหน่งที่มีเกียรติว่า “รับบัน” ดังนั้น เขามีอิทธิพลในหมู่สังคมชาวยิวอย่างมาก เขาได้สอนลูกหลานของฟาริสีหลายคน เช่น เซาโลที่มาจากเมืองทาร์ซัส (กจ 22:3; 23:6; 26:4, 5; กท 1:13, 14) เขามักจะตีความกฎหมายของโมเสสและธรรมเนียมต่าง ๆ ในแบบที่ไม่เคร่งครัดมากเหมือนกับพวกฟาริสีคนอื่น ๆ ตัวอย่างเช่น ว่ากันว่ากามาลิเอลเป็นคนตั้งกฎหมายที่ช่วยปกป้องภรรยาจากสามีที่ไม่มีศีลธรรม และปกป้องแม่ม่ายจากลูกที่ทำตัวไม่ดี และดูเหมือนเขาจะเป็นคนสอนว่าคนต่างชาติที่ยากจนควรมีสิทธิ์ที่จะเก็บข้าวตกได้เหมือนกับชาวยิวที่ยากจน การเป็นคนประนีประนอมแบบนี้เห็นได้ชัดจากสิ่งที่เขาพูดปกป้องเปโตรและอัครสาวกคนอื่น ๆ (กจ 5:35-39) แต่บันทึกของพวกรับบีแสดงให้เห็นว่ากามาลิเอลให้ความสำคัญกับธรรมเนียมของรับบีมากกว่าพระคัมภีร์บริสุทธิ์ ดังนั้น คำสอนของเขาจึงคล้ายกับพวกรับบีส่วนใหญ่ที่มีชีวิตอยู่ก่อนหน้านั้น และคล้ายกับพวกผู้นำศาสนาในสมัยนั้น—มธ 15:3-9; 2ทธ 3:16, 17; ดูส่วนอธิบายศัพท์คำว่า “ฟาริสี”; “แซนเฮดริน”
กามาลิเอล: เป็นอาจารย์สอนกฎหมายของโมเสสที่มีการพูดถึง 2 ครั้งในหนังสือกิจการ คือในข้อนี้และที่ กจ 5:34—ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ กจ 5:34
ศาลแซนเฮดริน: คือศาลสูงของชาวยิวในกรุงเยรูซาเล็ม คำกรีกที่แปลว่า “ศาลแซนเฮดริน” หรือ “แซนเฮดริน” (ซูนเอ็ดริออน) มีความหมายตรงตัวว่า “นั่งลงกับ” แม้มีการใช้คำนี้ในความหมายทั่ว ๆ ไปเพื่อหมายถึงที่ประชุมหรือการประชุม แต่ในอิสราเอลคำนี้อาจหมายถึงคณะผู้พิพากษาหรือศาลที่ตัดสินคดีทางศาสนาด้วย และคำกรีกนี้ยังอาจหมายถึงกลุ่มคนที่ประกอบกันเป็นศาลหรือหมายถึงตัวอาคารหรือที่ตั้งของศาลก็ได้—ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ มธ 5:22 และส่วนอธิบายศัพท์คำว่า “แซนเฮดริน”; ดูภาคผนวก ข12 เพื่อจะเห็นตำแหน่งที่น่าจะเป็นศาลแซนเฮดริน
ผู้นำทั้งคณะ: หรือ “สภาผู้นำทั้งคณะ” คำกรีก เพร็สบูเทะริออน ที่ใช้ในข้อนี้เกี่ยวข้องกับคำว่า เพร็สบูเทะรอส (แปลตรงตัวว่า “ผู้ชายสูงอายุ”) ซึ่งคัมภีร์ไบเบิลมักใช้เพื่อหมายถึงคนที่มีตำแหน่งและหน้าที่รับผิดชอบในชุมชนหรือในชาติ ถึงแม้คำนี้บางครั้งหมายถึงคนที่อายุมากกว่าหรือคนสูงอายุ (เช่นที่ ลก 15:25 และ กจ 2:17) แต่ก็มีความหมายในแง่อื่นด้วย ในข้อนี้คำว่า “ผู้นำทั้งคณะ” ดูเหมือนหมายถึงศาลแซนเฮดรินซึ่งเป็นศาลสูงของชาวยิวในกรุงเยรูซาเล็ม ศาลนี้ประกอบด้วยพวกปุโรหิตใหญ่ ครูสอนศาสนา และพวกผู้นำ คัมภีร์ไบเบิลมักพูดถึงคน 3 กลุ่มนี้พร้อม ๆ กัน—มธ 16:21; 27:41; มก 8:31; 11:27; 14:43, 53; 15:1; ลก 9:22; 20:1; ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ ลก 22:66
ชาวนาซาเร็ธ: เป็นฉายาเรียกพระเยซู และต่อมาก็ใช้เรียกสาวกของท่านด้วย (กจ 24:5) เนื่องจากชาวยิวหลายคนมีชื่อว่าเยซู จึงเป็นเรื่องปกติที่จะเพิ่มคำเพื่อระบุตัวตน ซึ่งตามธรรมเนียมในสมัยคัมภีร์ไบเบิล คำที่เพิ่มเข้าไปก็มักจะเป็นถิ่นเดิมหรือบ้านเกิดของคนนั้น (2ซม 3:2, 3; 17:27; 23:25-39; นฮม 1:1; กจ 13:1; 21:29) ตอนพระเยซูเป็นเด็กท่านใช้ชีวิตส่วนใหญ่ที่เมืองนาซาเร็ธแคว้นกาลิลี จึงเป็นเรื่องปกติที่จะใช้คำนี้ต่อท้ายชื่อของท่าน พระเยซูถูกเรียกว่า “ชาวนาซาเร็ธ” ในหลายโอกาส และมีหลายคนเรียกท่านแบบนี้ (มก 1:23, 24; 10:46, 47; 14:66-69; 16:5, 6; ลก 24:13-19; ยน 18:1-7) พระเยซูก็ยอมรับชื่อนี้และเรียกตัวเองแบบนี้ด้วย (ยน 18:5-8; กจ 22:6-8) บนป้ายที่ปีลาตให้ติดไว้บนเสาทรมานของพระเยซู เขาเขียนในภาษาฮีบรู ละติน และกรีกว่า “เยซูชาวนาซาเร็ธ กษัตริย์ของชาวยิว” (ยน 19:19, 20) ตั้งแต่วันเพ็นเทคอสต์ปี ค.ศ. 33 พวกอัครสาวกและคนอื่น ๆ ก็มักพูดถึงพระเยซูว่าเป็นชาวนาซาเร็ธด้วย—กจ 2:22; 3:6; 4:10; 6:14; 10:38; 26:9; ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ มธ 2:23 ด้วย
ชาวนาซาเร็ธ: ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ มก 10:47
ได้ยินเสียงพูดนั้น: ที่ กจ 22:6-11 เปาโลได้เล่าว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเขาตอนที่เขาเดินทางไปกรุงดามัสกัส ถึงแม้ในข้อนั้นบอกว่าคนที่เดินทางไปกับเปาโล “ไม่ได้ยินเสียงที่พูด” แต่ใน กจ 9:7 บอกว่าพวกเขา “ได้ยินเสียงพูด” บันทึกใน 2 บทนั้นใช้คำกรีกเดียวกันคือ โฟเน แต่มีไวยากรณ์ที่แตกต่างกัน ซึ่งคำกรีกนี้อาจหมายถึง “แค่ได้ยินเสียง” หรือ “ได้ยินชัดว่าพูดอะไร” ไวยากรณ์ที่ใช้ในบทนี้ทำให้รู้ว่าหมายถึง “แค่ได้ยินเสียง” (ส่วนไวยากรณ์ที่ใช้ใน กจ 22:9 หมายถึง “พวกเขาไม่ได้ยินว่าพูดอะไร”) ดังนั้น พวกคนที่ไปกับเปาโลได้ยินเสียงแต่ไม่เข้าใจว่าพูดอะไรเพราะพวกเขาไม่ได้ยินเสียงนั้นชัดเจน หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ เขาไม่ได้ยินเสียงพูดเหมือนกับที่เปาโลได้ยิน—กจ 26:14; ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ กจ 22:9
ไม่ได้ยินเสียงที่พูด: หรือ “ได้ยินเสียงแต่ไม่เข้าใจ” ที่ กจ 9:3-9 ลูกาได้เล่าว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเปาโลตอนที่เขาเดินทางไปกรุงดามัสกัส ดังนั้น เพื่อจะเข้าใจเหตุการณ์นี้อย่างชัดเจนจะต้องอ่านทั้งบันทึกในกิจการบท 9 และกิจการบท 22 ประกอบกัน อย่างที่บอกไว้ในข้อมูลสำหรับศึกษาที่ กจ 9:7 คนที่เดินทางไปกับเปาโล “ได้ยินเสียงพูด” แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาไม่ได้ยินเสียงเหมือนกับที่เปาโลได้ยิน พวกเขาเลยไม่เข้าใจ แนวคิดนี้สอดคล้องกับการใช้คำกรีกที่แปลว่า“ได้ยิน” ใน กจ 22:7 ที่นั่นเปาโลบอกว่าเขา “ได้ยินเสียงพูด” ซึ่งหมายความว่าเขาทั้งได้ยิน และเข้าใจ เสียงพูดนั้น แต่คนที่ไปกับเปาโลไม่เข้าใจว่าเสียงนั้นพูดว่าอะไร นี่อาจเป็นเพราะเสียงนั้นอู้อี้ไม่ชัดเจน จึงอาจบอกได้ว่าพวกเขา “ไม่ได้ยินเสียงที่พูด”—เทียบกับ มก 4:33; 1คร 14:2 ที่ใช้คำกรีกเดียวกันที่แปลว่า “ได้ยิน” ซึ่งอาจแปลได้ว่า “ฟัง” หรือ “เข้าใจ”
ขอให้คุณมองเห็นได้อีก: คำกรีกนี้มีความหมายหลักว่า “มองขึ้นไป” (มธ 14:19; ลก 19:5) แต่ก็ยังหมายถึงการมองเห็นได้เป็นครั้งแรก (ยน 9:11, 15, 18) หรือการมองเห็นได้อีกครั้ง (มก 10:52; ลก 18:42; กจ 9:12)
อธิษฐานอ้อนวอนออกชื่อพระเยซูเพื่อลบล้างบาปของคุณ: คนเราจะลบล้างบาปได้ไม่ใช่โดยการรับบัพติศมาด้วยน้ำ แต่โดยการอ้อนวอนออกชื่อพระเยซู ซึ่งหมายถึงการมีความเชื่อในพระเยซูและแสดงความเชื่อออกมาโดยทำงานรับใช้แบบคริสเตียน—กจ 10:43; กจ 2:14, 18
เคลิ้มไป: หรือ “รู้สึกทึ่งมาก” คำกรีก เอ็คสะทาซิส (มาจาก เอ็ค หมายถึง “ออกจาก” และ สะทาซิส หมายถึง “การยืนอยู่”) หมายถึงการหลุดออกจากสภาพปกติของความคิดจิตใจเพราะรู้สึกทึ่ง ประหลาดใจ หรือได้รับนิมิตจากพระเจ้า คำกรีกเดียวกันนี้ใน มก 5:42 แปลว่า “ตื่นเต้นดีใจ” ใน ลก 5:26 แปลว่า “ประหลาดใจมาก” และใน มก 16:8 แปลว่า “ทั้งกลัวทั้งสับสน” ในหนังสือกิจการคำกรีกนี้เกี่ยวข้องกับการกระทำของพระเจ้า ดูเหมือนว่าบางครั้งพลังบริสุทธิ์จะทำให้คนเห็นนิมิตหรือภาพที่เกี่ยวข้องกับความประสงค์ของพระเจ้าตอนที่เขากำลังอยู่ในภวังค์หรืออยู่ในสภาพที่เหมือนหลับ คนที่กำลังเคลิ้มแบบนี้จะสนใจแต่นิมิตที่เขาเห็นโดยไม่รู้เลยว่ามีอะไรเกิดขึ้นรอบตัวเขา—ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ กจ 22:17
ผมก็เคลิ้มไป: สำหรับคำกรีก เอ็คสะทาซิส ในข้อนี้ที่แปลว่า “เคลิ้ม” ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ กจ 10:10 ฉบับแปลบางฉบับที่แปลพระคัมภีร์คริสเตียนภาคภาษากรีกเป็นภาษาฮีบรูอ่านว่า “มือของพระยะโฮวาอยู่บนผม” ฉบับแปลอีกฉบับหนึ่งอ่านว่า “พลังของพระยะโฮวาปกคลุมตัวผม”
พยานของผม: เนื่องจากสาวกรุ่นแรกของพระเยซูเป็นชาวยิวที่ซื่อสัตย์ พวกเขาจึงเป็นพยานของพระยะโฮวาอยู่แล้ว และพวกเขายืนยันว่าพระยะโฮวาเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว (อสย 43:10-12; 44:8) แต่ตอนนี้พวกเขาต้องเป็นทั้งพยานของพระยะโฮวาและ ของพระเยซู พวกเขาต้องทำให้ผู้คนรู้ว่าพระเยซูมีบทบาทสำคัญมากในการทำให้ชื่อของพระยะโฮวาเป็นที่เคารพนับถือโดยทางรัฐบาลเมสสิยาห์ ซึ่งเป็นสิ่งใหม่ที่เกี่ยวข้องกับความประสงค์ของพระเจ้า มีการพบคำกรีกที่แปลว่า “พยาน” (มาร์ทูส) “เป็นพยานยืนยัน” (มาร์ทูเระโอ) และ “ประกาศ . . . ให้ทั่วถึง” (เดียมาร์ทูรอไม) และคำอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเป็นพยานในหนังสือกิจการมากเป็นอันดับสองรองจากหนังสือยอห์น (ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ ยน 1:7) การเป็นพยานและการประกาศอย่างทั่วถึงเกี่ยวกับความประสงค์ของพระเจ้า ซึ่งรวมถึงเรื่องรัฐบาลของพระองค์และบทบาทของพระเยซูเป็นเรื่องหลักที่อยู่ในหนังสือกิจการตลอดทั้งเล่ม (กจ 2:32, 40; 3:15; 4:33; 5:32; 8:25; 10:39; 13:31; 18:5; 20:21, 24; 22:20; 23:11; 26:16; 28:23) คริสเตียนบางคนในศตวรรษแรกเป็นพยานรู้เห็นเกี่ยวกับชีวิต ความตาย และการฟื้นขึ้นจากตายของพระเยซู และพวกเขาได้ยืนยันว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นความจริง (กจ 1:21, 22; 10:40, 41) ส่วนคนที่เข้ามาเชื่อพระเยซูทีหลังก็เป็นพยานของพระเยซูในแง่ที่ว่าพวกเขาประกาศให้คนอื่นรู้ว่าชีวิต ความตาย และการฟื้นขึ้นจากตายของพระเยซูสำคัญอย่างไร—กจ 22:15; ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ ยน 18:37
พยานของท่าน: คำว่า “พยาน” (มาร์ทูส) หมายถึงคนที่ได้เห็นการกระทำหรือเหตุการณ์บางอย่าง คริสเตียนบางคนในศตวรรษแรกเป็นพยานรู้เห็นเกี่ยวกับชีวิต ความตาย และการฟื้นขึ้นจากตายของพระเยซู และพวกเขาได้ยืนยันว่าเรื่องทั้งหมดเป็นความจริง (กจ 1:21, 22; 10:40, 41) ส่วนคนที่เข้ามาเชื่อพระเยซูทีหลังก็เป็นพยานของพระเยซูในแง่ที่ว่าพวกเขาประกาศให้คนอื่นรู้ว่าชีวิต ความตาย และการฟื้นขึ้นจากตายของพระเยซูสำคัญอย่างไร (กจ 22:15) ตอนเปาโลพูดกับพระเยซูและเรียกสเทเฟนว่า “พยานของท่าน” เขาก็ใช้คำว่าพยานในความหมายนี้ สเทเฟนเป็นพยานยืนยันอย่างหนักแน่นเกี่ยวกับพระเยซูต่อหน้าศาลแซนเฮดริน เขายังเป็นคนแรกที่ยืนยันว่าได้เห็นนิมิตที่พระเยซูกลับไปสวรรค์และยืนอยู่ข้างขวาของพระเจ้าเหมือนที่บอกไว้ใน สด 110:1 (กจ 7:55, 56) คริสเตียนที่เป็นพยานยืนยันมักต้องเจอกับการต่อต้าน ถูกจับกุม ทุกตี และแม้แต่ความตาย เหมือนที่สเทเฟน ยากอบ และคนอื่น ๆ เจอ นี่ทำให้ในภายหลังคำกรีก มาร์ทูส จึงมีความหมายว่า “คนที่เป็นพยานจนยอมเสียชีวิต” หรือคนที่ยอมตายแทนที่จะทิ้งความเชื่อ สเทเฟนเป็นคริสเตียนคนแรกที่ยอมตายในความหมายนี้ เขาถูกฆ่าเพราะเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับพระเยซู—ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ กจ 1:8
ผู้บังคับบัญชา: คำกรีก ฆิลีอาร์ฆอส (ผู้บังคับกองพัน) แปลตรงตัวว่า “ผู้ปกครองคน 1,000 คน” ซึ่งหมายถึงทหาร 1,000 นาย คำกรีกนี้เป็นตำแหน่งหัวหน้าหน่วยทหารโรมัน ทหารโรมัน 1 กองพันมี 6 หน่วย แต่ทหาร 1 กองพันไม่ได้มีผู้บัญชาการ 6 คนปกครองพร้อม ๆ กัน แทนที่จะเป็นอย่างนั้น ผู้บัญชาการของแต่ละหน่วยจะผลัดเปลี่ยนกันปกครองทหารทั้งกองพันเป็นเวลา 1 ใน 6 ของปี ผู้บัญชาการหน่วยหรือนายทหารชั้นผู้ใหญ่แบบนี้มีอำนาจมาก รวมทั้งมีสิทธิ์จะแต่งตั้งและมอบหมายงานให้กับนายร้อย คำกรีกนี้ยังอาจหมายถึงนายทหารระดับสูงทั่ว ๆ ไป ตอนที่จับพระเยซูผู้บังคับบัญชาทหารโรมันก็ไปกับพวกทหารด้วย
ผู้บังคับกองพัน: มาจากคำกรีก ฆิลีอาร์ฆอส แปลตรงตัวว่า “ผู้ปกครองคน 1,000 คน” ซึ่งหมายถึงทหาร 1,000 นาย คำกรีกนี้เป็นตำแหน่งหัวหน้าหน่วยทหารโรมัน (ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ ยน 18:12) ประมาณปี ค.ศ. 56 คลาวดิอัสลีเซียสเป็นผู้บังคับบัญชากองทหารรักษาการณ์ในกรุงเยรูซาเล็ม (กจ 23:22, 26) บันทึกในกิจการ บท 21-24 ทำให้รู้ว่าคลาวดิอัสลีเซียสเป็นคนที่ช่วยเปาโลจากฝูงชนที่รอดักฆ่าเขาและจากความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในศาลแซนเฮดริน และคลาวดิอัสลีเซียสยังเขียนจดหมายอธิบายกับผู้ว่าราชการเฟลิกส์ตอนที่ส่งตัวเปาโลไปซีซารียาอย่างลับ ๆ
พวกเราที่เป็นพลเมืองโรมัน: คือมีสัญชาติโรมัน เปาโลและน่าจะรวมถึงสิลาสด้วยเป็นพลเมืองโรมัน และตามกฎหมายโรมัน พลเมืองมีสิทธิ์เรียกร้องความยุติธรรมต่อศาลและจะไม่ถูกลงโทษในที่สาธารณะถ้ายังไม่ได้ตัดสินว่ามีความผิด พวกเขายังได้รับสิทธิ์และสิทธิพิเศษบางอย่างไม่ว่าเขาจะไปที่ไหนในจักรวรรดิ พลเมืองโรมันอยู่ภายใต้กฎหมายโรมัน ไม่ใช่กฎหมายท้องถิ่นประจำเมือง เมื่อถูกกล่าวหาเขาสามารถขอให้มีการพิจารณาคดีตามกฎหมายท้องถิ่นได้ แต่ก็ยังมีสิทธิ์ร้องเรียนต่อศาลยุติธรรมของโรม และในกรณีความผิดร้ายแรงที่อาจทำให้ได้รับโทษถึงตาย เขามีสิทธิ์ร้องเรียนต่อองค์จักรพรรดิได้ด้วย อัครสาวกเปาโลประกาศอย่างกว้างไกลในจักรวรรดิโรมัน และตามที่บันทึกในคัมภีร์ไบเบิล เขาใช้ประโยชน์จากสิทธิ์ของการเป็นพลเมืองโรมัน 3 ครั้ง ครั้งแรกก็คือที่นี่ในเมืองฟีลิปปี ตอนที่เปาโลบอกเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองชาวฟีลิปปีว่าพวกเขากำลังละเมิดสิทธิ์ของเปาโลโดยการเฆี่ยนเขา—อีก 2 ครั้ง ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ กจ 22:25; 25:11
ผมขอร้องเรียนต่อซีซาร์: ในคัมภีร์ไบเบิล นี่เป็นครั้งที่ 3 ที่เปาโลใช้ประโยชน์จากสิทธิ์การเป็นพลเมืองโรมัน (อีก 2 ครั้ง ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ กจ 16:37; 22:25) การขอร้องเรียนต่อซีซาร์อาจทำหลังจากมีการประกาศคำพิพากษาแล้ว หรือในช่วงไหนก็ได้ระหว่างที่มีการพิจารณาคดี เฟสทัสแสดงให้เห็นว่าเขาไม่อยากตัดสินเรื่องนี้ด้วยตัวเอง และการตัดสินในกรุงเยรูซาเล็มก็ดูเหมือนจะไม่มีความยุติธรรม เปาโลจึงขออย่างเป็นทางการที่จะให้มีการตัดสินคดีของเขาในศาลสูงสุดของจักรวรรดิ ดูเหมือนว่าบางครั้งการขออุทธรณ์อาจถูกปฏิเสธได้ เช่น ในกรณีของขโมย โจรสลัด หรือนักปลุกระดมที่ถูกจับได้ตอนที่กำลังปลุกปั่นประชาชน นี่อาจเป็นเหตุผลที่เฟสทัสคุยกับ “คณะที่ปรึกษา” ก่อนที่จะส่งเรื่องต่อไปที่ศาลสูง (กจ 25:12) เฟสทัสอาจอยากได้ข้อมูลที่ชัดเจนกว่านี้ก่อนจะส่งตัวเปาโลไปหา “องค์จักรพรรดิ” เนโร เขาจึงจัดให้มีการสอบสวนเปาโลอีกครั้งตอนที่เฮโรดอากริปปาที่ 2 มาเยี่ยม (กจ 25:12-27; 26:32; 28:19) การที่เปาโลยื่นอุทธรณ์ก็ยังช่วยให้เขาได้ไปที่กรุงโรมตามที่เขาตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก (กจ 19:21) คำสัญญาที่พระเยซูให้กับเปาโล และข่าวสารที่เขาได้รับจากทูตสวรรค์หลังจากนั้นแสดงให้เห็นว่าพระยะโฮวาอยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดนี้—กจ 23:11; 27:23, 24
นายร้อย: นายทหารในกองทัพโรมันที่มีทหารอยู่ใต้บังคับบัญชา 100 นาย
พลเมืองโรมัน: คือมีสัญชาติโรมัน ตามที่บันทึกในคัมภีร์ไบเบิลนี่เป็นครั้งที่ 2 ใน 3 ครั้งที่เปาโลใช้ประโยชน์จากสิทธิ์การเป็นพลเมืองโรมัน ปกติแล้วเจ้าหน้าที่โรมันจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับปัญหาของชาวยิว แต่ที่พวกเขายุ่งเกี่ยวกับเรื่องของเปาโลก็ไม่ใช่แค่เพราะเกิดจลาจลตอนที่เปาโลไปวิหาร แต่ยังเป็นเพราะเปาโลเป็นพลเมืองโรมันด้วย การเป็นพลเมืองโรมันทำให้ผู้คนมีสิทธิพิเศษหลายอย่างและเป็นสิ่งที่ได้รับการยอมรับทั่วทั้งจักรวรรดิ ตัวอย่างเช่น เป็นเรื่องผิดกฎหมายที่จะมัดหรือเฆี่ยนพลเมืองโรมันที่ยังไม่ได้ถูกตัดสินว่ามีความผิด เพราะนี่เป็นสิ่งที่เขาจะทำเฉพาะกับคนที่เป็นทาสเท่านั้น—อีก 2 ครั้ง ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ กจ 16:37; 25:11
ซื้อสิทธิ์พลเมืองโรมัน: หรือ “ซื้อสัญชาติโรมัน” จากบันทึกเหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นว่าถ้าจ่ายเงินมากพอก็เป็นไปได้ที่จะซื้อสิทธิ์การเป็นพลเมืองโรมัน เปาโลบอกคลาวดิอัสลีเซียสว่าเขาได้สิทธิ์นี้มาตั้งแต่เกิด นี่แสดงว่าบรรพบุรุษของเปาโลคนหนึ่งที่เป็นผู้ชายต้องได้สิทธิ์การเป็นพลเมืองโรมัน ยังมีวิธีอื่น ๆ ที่ทำให้คนเราได้สิทธิ์การเป็นพลเมืองโรมันด้วย จักรพรรดิโรมันอาจให้สิทธิ์การเป็นพลเมืองเป็นรางวัลให้กับใครคนหนึ่ง หรือให้กับประชาชนทั้งเมืองหรือทั้งแคว้นก็ได้ ทาสที่ได้ซื้ออิสรภาพจากพลเมืองโรมันหรือทาสที่ชาวโรมันได้ปล่อยตัวให้เป็นอิสระก็จะได้รับสิทธิ์การเป็นพลเมืองโรมันด้วย คนที่เคยเป็นทหารในกองกำลังเสริมของโรมันก็จะได้รับสิทธิ์นี้ด้วยเหมือนกัน และสิทธิ์การเป็นพลเมืองโรมันก็สืบทอดกันไปถึงลูกหลานได้ ดูเหมือนในศตวรรษแรกไม่ค่อยมีพลเมืองโรมันที่อาศัยอยู่ในแคว้นยูเดีย แต่พอถึงศตวรรษที่ 3 ประชาชนทุกคนที่อยู่ในแคว้นต่าง ๆ ของจักรวรรดิโรมันก็ได้สิทธิ์นี้
วีดีโอและรูปภาพ

กรุงดามัสกัสในศตวรรษแรกน่าจะมีผังเมืองเหมือนในภาพนี้และเป็นศูนย์กลางการค้าที่สำคัญ การมีน้ำจากแม่น้ำบาราดา (แม่น้ำอาบานาที่พูดถึงใน 2พก 5:12) หล่อเลี้ยงอยู่ทำให้กรุงนี้เป็นเหมือนโอเอซิส กรุงดามัสกัสมีที่ประชุมของชาวยิวหลายแห่ง เซาโลมาที่กรุงนี้เพื่อ “จะได้จับกุมใครก็ตามที่ถือทางนั้น” ซึ่งก็คือสาวกของพระเยซู (กจ 9:2; 19:9, 23; 22:4; 24:22) แต่ระหว่างทางไปกรุงดามัสกัส พระเยซูที่กลับไปสวรรค์แล้วมาปรากฏตัวต่อเซาโล หลังจากนั้น เซาโลก็พักอยู่ที่บ้านของยูดาสในกรุงดามัสกัสซึ่งอยู่ที่ถนนตรง (กจ 9:11) ในนิมิต พระเยซูสั่งให้สาวกอานาเนียไปที่บ้านของยูดาสเพื่อช่วยให้เซาโลมองเห็นอีกครั้ง แล้วเซาโลก็รับบัพติศมา ดังนั้น แทนที่เซาโลจะไปจับคริสเตียนชาวยิว เขากลับเข้ามาเป็นคริสเตียนแทน เขาเริ่มประกาศข่าวดีเต็มเวลาในที่ประชุมต่าง ๆ ของชาวยิวในกรุงดามัสกัส หลังจากนั้น เซาโลก็เดินทางไปแถบอาหรับและกลับมาที่กรุงดามัสกัส จากนั้นเขาก็กลับไปที่กรุงเยรูซาเล็มประมาณปี ค.ศ. 36—กจ 9:1-6, 19-22; กท 1:16, 17
ก. กรุงดามัสกัส
1. ถนนไปกรุงเยรูซาเล็ม
2. ถนนที่ชื่อถนนตรง
3. อากอรา
4. วิหารจูปิเตอร์
5. โรงละคร
6. โรงแสดงดนตรี (?)
ข. กรุงเยรูซาเล็ม

ในภาพนี้คือส่วนหนึ่งของเอกสารที่ทำจากทองสัมฤทธิ์ในปี ค.ศ. 79 เอกสารนี้ทำขึ้นเพื่อมอบให้กับกะลาสีเรือคนหนึ่งที่ใกล้จะเกษียณ รวมทั้งภรรยากับลูกชายของเขาด้วย เอกสารนี้มี 2 ส่วนที่ผูกไว้ด้วยกันและลงตราประทับ ในสมัยนั้นบางคนได้สิทธิพลเมืองโรมันตั้งแต่เกิด แต่บางคนได้สิทธินี้ในภายหลัง (ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่กจ 22:28) เอกสารที่แสดงสิทธิการเป็นพลเมืองโรมันถือว่ามีค่ามากไม่ว่าจะได้สิทธินี้มาตอนไหน เพราะบางครั้งต้องใช้เอกสารนี้เพื่อยืนยันในการรับสิทธิพิเศษบางอย่าง แต่เปาโลเขียนเกี่ยวกับฐานะพลเมืองที่สูงส่งกว่าการเป็นพลเมืองโรมัน ซึ่งก็คือการ “เป็นพลเมืองสวรรค์”—ฟป 3:20

ศาลสูงของชาวยิวในกรุงเยรูซาเล็มที่เรียกว่าศาลแซนเฮดรินใหญ่ประกอบด้วยสมาชิก 71 คน (ดูส่วนอธิบายศัพท์คำว่า “แซนเฮดริน”) หนังสือมิชนาห์บอกว่ามีการจัดที่นั่งในศาลเป็นรูปครึ่งวงกลมซ้อนกัน 3 แถว และมีผู้คัดลอก 2 คนคอยบันทึกคำพิพากษาของศาล รายละเอียดทางสถาปัตยกรรมบางอย่างในภาพนี้วาดขึ้นโดยมีต้นแบบจากซากอาคารหลังหนึ่งที่พบในกรุงเยรูซาเล็มซึ่งบางคนเชื่อว่าเคยเป็นห้องพิจารณาคดีของศาลแซนเฮดรินในศตวรรษแรก—ดูภาคผนวก ข12, แผนที่ “กรุงเยรูซาเล็มและบริเวณโดยรอบ”
1. มหาปุโรหิต
2. สมาชิกศาลแซนเฮดริน
3. จำเลย
4. เสมียนศาล