บทสิบเก้า
เขาปกป้อง หาเลี้ยงครอบครัว และทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์
1, 2. (ก) โยเซฟกับครอบครัวต้องปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อะไร? (ข) โยเซฟบอกข่าวร้ายอะไรแก่มาเรีย?
โยเซฟโยนสัมภาระอีกชิ้นหนึ่งขึ้นบนหลังลา. ลองนึกภาพเขากวาดสายตาไปรอบหมู่บ้านเบทเลเฮมท่ามกลางความมืดมิด แล้วตบบั้นท้ายเจ้าลาน้อยจอมทรหดเบา ๆ. เขาคงคิดถึงการเดินทางอันยาวไกลที่อยู่ข้างหน้า. จุดหมายปลายทางของเขาคืออียิปต์ ดินแดนที่ต่างผู้คน ต่างภาษา และต่างวัฒนธรรม. ครอบครัวเล็ก ๆ ของเขาจะปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ได้อย่างไร?
2 การบอกข่าวร้ายแก่มาเรียภรรยาที่รักไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับโยเซฟ แต่เขาก็รวบรวมความกล้าและบอกให้เธอรู้. โยเซฟเล่าให้เธอฟังว่าทูตสวรรค์องค์หนึ่งมาหาเขาในความฝันและแจ้งข่าวจากพระเจ้าว่า กษัตริย์เฮโรดกำลังตามล่าชีวิตบุตรน้อยของพวกเขา! พวกเขาต้องหนีทันที. (อ่านมัดธาย 2:13, 14 ) มาเรียกังวลมาก. ทำไมมีคนคิดจะฆ่าเด็กน้อยที่ไร้เดียงสาและไม่มีพิษภัยเช่นนี้? ทั้งโยเซฟและมาเรียไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร. แต่พวกเขาก็วางใจพระยะโฮวาและเตรียมออกเดินทาง.
3. จงพรรณนาตอนที่โยเซฟกับครอบครัวกำลังเดินทางออกจากเบทเลเฮม. (ดูภาพด้วย)
3 ท่ามกลางความมืดมิดระหว่างที่คนในเบทเลเฮมกำลังหลับใหล โยเซฟก็พามาเรียและพระเยซูออกจากหมู่บ้านอย่างเงียบ ๆ. ขณะที่โยเซฟพาครอบครัวมุ่งหน้าไปทางใต้ ท้องฟ้าทางตะวันออกก็ค่อย ๆ สว่างขึ้น. โยเซฟคงคิดถึงสิ่งที่รอเขาอยู่ข้างหน้า. ช่างไม้ที่ต่ำต้อยอย่างเขาจะปกป้องครอบครัวให้พ้นจากเงื้อมมือของเฮโรดผู้ทรงอิทธิพลได้อย่างไร? เขาจะหาเลี้ยงครอบครัวได้ตลอดรอดฝั่งไหม? เขาจะเลี้ยงดูบุตรชายคนพิเศษที่พระยะโฮวาพระเจ้ามอบให้เขาดูแลจนเติบใหญ่ได้ไหม? โยเซฟต้องเจอกับปัญหาและข้อท้าทายหลายอย่าง. ขณะที่เราพิจารณาวิธีที่โยเซฟรับมือกับปัญหาเหล่านั้น เราจะเห็นว่าพ่อในทุกวันนี้รวมทั้งเราทุกคนจะเลียนแบบความเชื่อของโยเซฟได้อย่างไร.
โยเซฟปกป้องครอบครัว
4, 5. (ก) ชีวิตของโยเซฟเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงในทางใดบ้าง? (ข) ทูตสวรรค์บอกอะไรโยเซฟ?
4 ย้อนไปประมาณหนึ่งปีก่อนหน้านั้นที่บ้านเกิดของโยเซฟในเมืองนาซาเรท ชีวิตเขาเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงหลังจากหมั้นกับบุตรสาวของเฮลี. โยเซฟรู้ว่ามาเรียเป็นสาวพรหมจารีที่เลื่อมใสพระเจ้า. แต่จู่ ๆ มาเรียก็บอกว่าเธอตั้งครรภ์! โยเซฟตั้งใจจะหย่ากับเธออย่างลับ ๆ เพื่อไม่ให้เธออับอาย. a แต่ทูตสวรรค์องค์หนึ่งมาบอกเขาในความฝันว่า มาเรียตั้งครรภ์โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระยะโฮวา. ทูตสวรรค์ยังบอกด้วยว่าบุตรชายที่เธอจะให้กำเนิดนั้นจะ “ช่วยประชาชนของท่านให้รอดจากบาปของพวกเขา.” ทูตสวรรค์ให้กำลังใจโยเซฟอีกว่า “อย่ากลัวที่จะรับมาเรียภรรยาของเจ้ามาอยู่ที่บ้าน.”—มัด. 1:18-21
5 โยเซฟเป็นคนชอบธรรมและเชื่อฟังพระเจ้า เขาจึงทำตามที่ทูตสวรรค์บอก. เขายอมรับงานมอบหมายที่หนักที่สุดคือการเอาใจใส่เลี้ยงดูเด็กที่ไม่ใช่ลูกของตัวเอง แต่เป็นบุตรที่พระเจ้ารักและหวงแหนอย่างยิ่ง. ต่อมา โยเซฟทำตามกฤษฎีกาของซีซาร์ โดยพาภรรยาที่กำลังตั้งครรภ์เดินทางไปเบทเลเฮมเพื่อจดทะเบียนสำมะโนครัว. ที่หมู่บ้านนี้เองที่บุตรน้อยคนนี้ได้เกิดมา.
6-8. (ก) มีเหตุการณ์อะไรบ้างที่ทำให้โยเซฟกับครอบครัวเล็ก ๆ ของเขาต้องเปลี่ยนแปลงชีวิต? (ข) เรารู้ได้อย่างไรว่าดาวดวงนั้นมาจากซาตาน? (ดูเชิงอรรถด้วย)
6 โยเซฟไม่ได้พาครอบครัวกลับไปนาซาเรท. พวกเขาอาศัยอยู่ในเบทเลเฮมต่อไป ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงเยรูซาเลมเพียงไม่กี่กิโลเมตร. แม้พวกเขาจะยากจน แต่โยเซฟก็ทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้มาเรียและพระเยซูต้องขัดสนลำบาก. ไม่นานหลังจากพระเยซูเกิด พวกเขาก็มีบ้านหลังเล็ก ๆ อยู่. แต่แล้วชีวิตของพวกเขาก็ต้องเปลี่ยนแปลงอีกครั้งเมื่อพระเยซูอายุได้ขวบเศษ ๆ.
7 มีชายกลุ่มหนึ่งเดินทางมา พวกเขาเป็นโหรจากทิศตะวันออกซึ่งคงเป็นบาบิโลนอันไกลโพ้น. โหรกลุ่มนี้ติดตามดาวดวงหนึ่งมาจนถึงบ้านของโยเซฟกับมาเรีย พวกเขากำลังตามหาเด็กคนหนึ่งซึ่งจะเป็นกษัตริย์ของชาวยิว. เมื่อเห็นพระกุมารพวกเขาก็หมอบลงแสดงความเคารพพระองค์.
8 ไม่ว่าพวกโหรจะรู้หรือไม่ แต่พวกเขากำลังทำให้หนูน้อยเยซูอยู่ในอันตราย. ดาวดวงนั้นไม่ได้นำพวกเขามาที่เบทเลเฮมทันที แต่พาไปที่เยรูซาเลมก่อน. b เมื่อไปถึงที่นั่น พวกโหรได้บอกกษัตริย์เฮโรดว่าพวกเขากำลังตาม หาเด็กคนหนึ่งที่จะเป็นกษัตริย์ของชาวยิว. คำบอกเล่าของพวกเขาทำให้เฮโรดโกรธและไม่พอใจอย่างยิ่ง.
9-11. (ก) ผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่าเฮโรดและซาตานคอยช่วยเหลือครอบครัวของโยเซฟอย่างไร? (ข) เรื่องที่เล่าในเทพนิยายเกี่ยวกับการเดินทางไปอียิปต์ต่างจากความเป็นจริงอย่างไร?
9 แต่น่าดีใจ มีผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่าเฮโรดคอยช่วยเหลือครอบครัวของโยเซฟ. โดยวิธีใดล่ะ? เมื่อพวกโหรมาถึงบ้านที่พระเยซูอยู่และเห็นพระองค์กับมาเรีย พวกเขาก็ให้ของกำนัลมากมายแก่ครอบครัวนี้โดยไม่ได้ขอสิ่งใดตอบแทน. โยเซฟกับมาเรียคงแปลกใจมากที่จู่ ๆ มีคนนำ “ทองคำ กำยาน และมดยอบ” มาให้. ของแต่ละอย่างล้วนมีค่าและราคาแพงทั้งนั้น! พวกโหรตั้งใจจะกลับไปบอกกษัตริย์เฮโรดว่าพวกเขาพบพระเยซูที่ไหน. แต่พระยะโฮวาทรงเข้าแทรกแซง. พระองค์สั่งพวกโหรในความฝันให้กลับไปยังบ้านเมืองของตนโดยใช้เส้นทางอื่น.—อ่านมัดธาย 2:1-12
10 ไม่นานหลังจากพวกโหรกลับไป พระยะโฮวาใช้ทูตสวรรค์มาเตือนโยเซฟว่า “จงลุกขึ้นพาพระกุมารกับมารดาหนีไปประเทศอียิปต์และอยู่ที่นั่นจนกว่าเราจะบอกเจ้า เพราะเฮโรดจะค้นหาพระกุมารเพื่อฆ่าเสีย.” (มัด. 2:13) โยเซฟเชื่อฟังและทำตามทันทีดังที่เราอ่านในตอนต้น. เขาถือว่าความปลอดภัยของบุตรน้อยสำคัญกว่าสิ่งอื่นและรีบพาครอบครัวหนีไปอียิปต์. เนื่องจากพวกโหรนอกรีตได้ให้ของกำนัลที่มีราคาแพงมากแก่ครอบครัวของโยเซฟ ตอนนี้พวกเขาจึงมีเงินมากพอสำหรับการเดินทางไกลที่รออยู่ข้างหน้า.
โยเซฟพร้อมจะทำทุกสิ่งโดยไม่ลังเลเพื่อปกป้องบุตรของตน
11 เทพนิยายและตำนานนอกสารบบพระคัมภีร์ได้แต่งเติมเรื่องการเดินทางไปอียิปต์จนกลายเป็นนิยายรัก และเล่าว่าพระกุมารเยซูได้ทำการอัศจรรย์เพื่อย่นระยะทางให้สั้นลง ปราบพวกกองโจรที่คอยดักปล้น และถึงกับสั่งให้ต้นอินทผลัมโน้มกิ่งลงมาเพื่อมาเรียจะเด็ดผลกินได้. c แต่ความจริงแล้ว การเดินทางไปยังดินแดนที่พวกเขาไม่รู้จักในคราวนั้นเป็นการเดินทางที่ยากลำบากและยาวไกล.
โยเซฟพร้อมจะสละความสุขสบายของตนเพื่อครอบครัว
12. โยเซฟเป็นตัวอย่างที่ดีอย่างไรสำหรับพ่อแม่ที่ต้องเลี้ยงดูลูกในโลกที่เต็มไปด้วยอิทธิพลที่ไม่ดี?
12 พ่อแม่สามารถเรียนรู้หลายอย่างจากตัวอย่างของโยเซฟ. เขาพร้อมจะละจากงานและสละความสุขสบายของตนเพื่อปกป้องครอบครัวให้พ้นจากอันตราย. เห็นชัดว่าสำหรับเขาแล้วครอบครัวคือสมบัติล้ำค่าที่พระยะโฮวาฝากไว้. พ่อแม่ในทุกวันนี้ต้องเลี้ยงดูลูกในโลกของซาตานที่เต็มไปด้วยอิทธิพลที่ไม่ดีซึ่งอาจทำให้เด็กเสียคน หรือถึงกับทำลายชีวิตของพวกเขา. พ่อแม่ที่ทุ่มเทตัวและพร้อมจะทำทุกสิ่งเพื่อปกป้องลูกให้พ้นจากอิทธิพลที่เป็นอันตรายเช่นเดียวกับโยเซฟสมควรได้รับคำชมเชยอย่างแท้จริง.
โยเซฟหาเลี้ยงครอบครัว
13, 14. โยเซฟกับมาเรียมาลงหลักปักฐานที่นาซาเรทได้อย่างไร?
13 ดูเหมือนว่าครอบครัวของโยเซฟอยู่ที่อียิปต์ไม่นาน เพราะหลังจากนั้นระยะหนึ่งทูตสวรรค์ก็มาบอกโยเซฟว่าเฮโรดตายแล้ว. โยเซฟจึงพาครอบครัวกลับไปอิสราเอล. คำพยากรณ์เก่าแก่ข้อหนึ่งกล่าวไว้ว่า พระยะโฮวาจะเรียกบุตรของพระองค์ “ออกจากอียิปต์.” (มัด. 2:15) โยเซฟช่วยให้คำพยากรณ์ข้อนี้สำเร็จ. แต่ตอนนี้เขาจะพาครอบครัวไปอยู่ที่ไหน?
14 โยเซฟเป็นคนรอบคอบ. ระหว่างทาง เขาได้ยินว่าอาร์คีลาอุสซึ่งมีนิสัยชั่วช้าอำมหิตและชอบฆ่าคนเหมือนเฮโรดขึ้นมาปกครองต่อ เขาจึงเป็นห่วงครอบครัว. โยเซฟพาครอบครัวขึ้นไปทางเหนือไกลจากเยรูซาเลมเพื่อจะไม่ต้องรับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นตามการชี้นำของพระเจ้า. พวกเขากลับมาอยู่ที่นาซาเรทบ้านเกิดของโยเซฟในแคว้นแกลิลี และโยเซฟกับมาเรียก็ลงหลักปักฐานอยู่ที่นั่น.—อ่านมัดธาย 2:19-23
15, 16. ลักษณะงานของโยเซฟเป็นอย่างไร และเขาอาจใช้เครื่องมืออะไรบ้าง?
15 พวกเขาใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย แต่ก็ใช่ว่าจะสะดวกสบาย. คัมภีร์ไบเบิลเรียกโยเซฟว่าช่างไม้ ซึ่งเป็นคำกว้าง ๆ ที่ทำให้นึกภาพออกว่าเขาต้องทำงานหลายอย่างเกี่ยวกับไม้ เช่น โค่นต้นไม้ ลากไม้ และเตรียมไม้เพื่อนำไปทำสิ่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นบ้าน เรือ สะพานเล็ก ๆ เกวียน ล้อ แอก และเครื่องมือเครื่องใช้ในการเกษตรทุกชนิด. (มัด. 13:55) นี่เป็นงานที่ต้องใช้แรงมาก. ช่างไม้ในสมัยคัมภีร์ไบเบิลมักทำงานกลางแจ้งที่ลานหน้าบ้านหรือในโรงไม้ที่สร้างไว้ไม่ห่างจากตัวบ้าน.
16 โยเซฟใช้เครื่องมือหลายชนิดซึ่งบางชนิดคงเป็นมรดกตกทอดมาจากบิดา. เขาอาจใช้เหล็กฉาก ลูกดิ่ง ชอล์กสำหรับตีเส้น ขวานขนาดเล็ก เลื่อย ขวานถากไม้ ค้อนหงอน ค้อนไม้ สิ่ว สว่านคันชัก และกาวชนิดต่าง ๆ หรืออาจใช้ตะปูด้วยแม้จะมีราคาแพงก็ตาม.
17, 18. (ก) พระเยซูเรียนรู้อะไรจากโยเซฟบิดาเลี้ยง? (ข) ทำไมโยเซฟต้องทำงานหนักขึ้น?
17 ลองนึกภาพพระเยซูผู้เยาว์วัยเฝ้าดูบิดาเลี้ยงทำงาน. พระองค์คงจ้องมองโดยไม่ละสายตาไม่ว่าโยเซฟจะหยิบจับหรือทำอะไร. พระองค์คงภูมิใจเมื่อมองดูบิดา เขามีรูปร่างใหญ่โตแข็งแรง ไหล่กว้าง กล้ามแขนเป็นมัด ๆ และใช้มือทำงานอย่างคล่องแคล่ว รวมทั้งมีสายตาที่เฉียบคม. โยเซฟอาจสอนบุตรชายวัยเยาว์ให้หัดทำงานง่าย ๆ เช่น เอาหนังปลาแห้งมาขัดผิวไม้ให้เรียบ. เขาอาจสอนพระเยซูให้รู้ความแตกต่างของเนื้อไม้แต่ละชนิด เช่น ไม้จากต้นมะเดื่อ ต้นโอ๊ก ต้นมะกอก และต้นอื่น ๆ.
โยเซฟฝึกสอนบุตรชายให้เป็นช่างไม้
18 นอกจากนั้น พระเยซูคงได้เรียนรู้ว่ามือที่แข็งแกร่งซึ่งโค่นต้นไม้ ถากไม้ และตอกไม้ให้ติดกันนี้ยังเป็นมือที่อ่อนโยนซึ่งคอยโอบกอดและปลอบโยนพระองค์กับแม่และน้อง ๆ ด้วย. ครอบครัวของโยเซฟกับมาเรียขยายใหญ่ขึ้นจนในที่สุดพวกเขามีลูกอย่างน้อยหกคน ไม่รวมพระเยซู. (มัด. 13:55, 56) โยเซฟต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อดูแลและหาเลี้ยงทุกคนในครอบครัว.
โยเซฟเข้าใจดีว่าการช่วยสมาชิกครอบครัวให้มีความเชื่อและมีสายสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพระเจ้าเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
19. โยเซฟช่วยครอบครัวให้มีความเชื่อและมีสายสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพระเจ้าโดยวิธีใด?
19 อย่างไรก็ตาม โยเซฟเข้าใจดีว่าการช่วยสมาชิกครอบครัวให้มีความเชื่อและมีสายสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพระเจ้าเป็นสิ่งสำคัญที่สุด. โยเซฟจึงให้เวลาลูกเพื่อสอนพวกเขาให้รู้จักพระยะโฮวาพระเจ้าและกฎหมายของพระองค์. โยเซฟกับมาเรียพาลูก ๆ ไปที่ธรรมศาลาเป็นประจำเพื่อฟังการอ่านและอธิบายพระบัญญัติ. เมื่อกลับบ้าน พระเยซูคงมีคำถามมากมายและโยเซฟก็คงพยายามอย่างดีที่สุดที่จะตอบคำถามบุตรที่สนใจใคร่รู้เกี่ยวกับพระเจ้า. นอกจากนั้น โยเซฟยังพาครอบครัวไปร่วมเทศกาลทางศาสนาที่กรุงเยรูซาเลมด้วย. เมื่อถึงเทศกาลปัศคาประจำปี โยเซฟคงต้องใช้เวลานานถึง 2 สัปดาห์เพื่อพาครอบครัวเดินทางไกล 120 กิโลเมตรไปเข้าร่วมเทศกาลนี้และเดินทางกลับอีก 120 กิโลเมตร.
โยเซฟพาครอบครัวไปนมัสการที่พระวิหารในกรุงเยรูซาเลมเป็นประจำ
20. หัวหน้าครอบครัวคริสเตียนจะเลียนแบบโยเซฟได้อย่างไร?
20 หัวหน้าครอบครัวคริสเตียนในทุกวันนี้ก็ทำอย่างเดียวกัน. แม้ว่าจะทำ งานหนักเพื่อจัดหาสิ่งจำเป็นด้านวัตถุให้ลูก แต่พวกเขาถือว่าการอบรมสั่งสอนลูกให้มีความเชื่อในพระเจ้าเป็นสิ่งสำคัญที่สุด. พวกเขาพยายามอย่างจริงจังเพื่อจัดการนมัสการประจำครอบครัวที่บ้านและพาลูก ๆ เข้าร่วมการประชุมคริสเตียนทั้งการประชุมใหญ่และการประชุมประจำสัปดาห์. เช่นเดียวกับโยเซฟ พวกเขารู้ว่านี่เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดที่จะทำได้เพื่อลูก.
“ด้วยความร้อนใจ”
21. บรรยากาศในช่วงเทศกาลปัศคาเป็นอย่างไร และโยเซฟกับมาเรียรู้ตัวเมื่อไรว่าพระเยซูหายไป?
21 ตอนพระเยซูอายุ 12 ปี โยเซฟพาครอบครัวไปที่กรุงเยรูซาเลมเหมือนปีก่อน ๆ. ตอนนั้นเป็นเทศกาลปัศคาซึ่งเป็นช่วงเวลาที่รื่นเริงยินดี ครอบครัวใหญ่หลายครอบครัวเดินทางไปด้วยกันเป็นขบวน ผ่านท้องทุ่งที่เขียวขจีในฤดูใบไม้ผลิ. เมื่อมาถึงเขตเนินเขาซึ่งเป็นทางขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเลมที่ตั้งตระหง่านอยู่บนภูเขาสูง พวกเขาคงจะร้องเพลงสรรเสริญที่เรียกกันว่าบทเพลงที่ใช้แห่ขึ้น. (เพลง. บท 120-134) กรุงนี้คงคลาคล่ำไปด้วยผู้คนนับแสน. พอสิ้นสุดเทศกาลนั้น แต่ละครอบครัวก็พากันเดินทางกลับบ้าน. โยเซฟกับมาเรียอาจยุ่งอยู่กับงานหลายอย่างจึงคิดว่าพระเยซูเดินทางกลับมาด้วยแต่อยู่กับญาติคนอื่น ๆ. แต่เมื่อออกจากกรุงเยรูซาเลมได้หนึ่งวันเต็ม พวกเขาก็ตกใจมากเมื่อรู้ว่าพระเยซูหายไป!—ลูกา 2:41-44
22, 23. โยเซฟกับมาเรียทำอะไรเมื่อรู้ว่าลูกชายหายไป และมาเรียพูดอะไรเมื่อพบพระเยซู?
22 ด้วยความกังวลใจ พวกเขารีบย้อนกลับไปทางเดิมเพื่อตามหาพระเยซูที่กรุงเยรูซาเลม. ลองนึกภาพว่า ขณะที่พวกเขาวิ่งเข้าวิ่งออกตามถนนต่าง ๆ พร้อมกับร้องเรียกชื่อลูกชาย พวกเขาคงรู้สึกว่าตอนนี้เมืองช่างดูเงียบเหงาเหลือเกิน. ลูกชายของพวกเขาอยู่ที่ไหน? หลังจากตามหาอยู่ 3 วัน โยเซฟอาจคิดว่าเขาบกพร่องในหน้าที่อย่างร้ายแรงเนื่องจากไม่สามารถดูแลสมบัติล้ำค่าที่พระยะโฮวาฝากไว้. ในที่สุด พวกเขาก็เข้าไปในพระวิหาร. พวกเขาเดินหาจนมาถึงห้องหนึ่งซึ่งมีบรรดาอาจารย์ที่ชำนาญในพระบัญญัตินั่งอยู่ แล้วพวกเขาก็เห็นพระเยซูอยู่ที่นั่นด้วย! ลองนึกดูสิว่าโยเซฟกับมาเรียคงรู้สึกโล่งอกเพียงไร!—ลูกา 2:45, 46
23 พระเยซูกำลังนั่งฟังผู้มีความรู้เหล่านั้นและซักถามด้วยความสนใจใคร่รู้. อาจารย์เหล่านั้นรู้สึกทึ่งเมื่อเห็นเด็กชายคนนี้มีความเข้าใจและตอบคำถามที่ลึกซึ้งได้. โยเซฟกับมาเรียประหลาดใจที่เห็นเช่นนั้น. ตามบันทึกในพระคัมภีร์ โยเซฟไม่ได้พูดอะไรเลย. แต่คำพูดของมาเรียอธิบายความรู้สึกของเขาทั้งสองได้อย่างดี. เธอพูดว่า “ลูกเอ๋ย ทำไมจึงทำให้พ่อแม่เป็นห่วงอย่างนี้? ดูสิ พ่อกับแม่ตามหาเจ้าด้วยความร้อนใจ.”—ลูกา 2:47, 48
24. พระคำของพระเจ้าช่วยให้เรามองเห็นภาพที่ตรงกับชีวิตจริงของคนที่เป็นพ่อแม่อย่างไร?
24 เพียงคำพูดไม่กี่คำนี้ พระคำของพระเจ้าช่วยให้เรามองเห็นภาพที่ตรงกับชีวิตจริงของคนที่เป็นพ่อแม่. การเลี้ยงลูกไม่ใช่เรื่องง่าย อาจทำให้รู้สึกเครียดหรือกังวล แม้แต่เมื่อมีลูกเป็นมนุษย์สมบูรณ์เช่นพระเยซู! การเลี้ยงลูก ในโลกทุกวันนี้ที่เต็มไปด้วยอันตรายอาจทำให้พ่อแม่ “ร้อนใจ” ไม่หยุดหย่อน แต่พวกเขาคงมีกำลังใจเมื่อรู้ว่าพระยะโฮวาทรงเข้าใจหัวอกพ่อแม่ที่ต้องเผชิญข้อท้าทายต่าง ๆ.
25, 26. พระเยซูตอบพ่อแม่ของพระองค์อย่างไร และโยเซฟคงรู้สึกเช่นไรกับคำพูดของพระองค์?
25 ไม่มีที่ไหนอีกแล้วที่พระเยซูจะรู้สึกใกล้ชิดพระยะโฮวาพระบิดาในสวรรค์มากไปกว่าที่พระวิหาร. พระองค์มีความสุขมากที่ได้เรียนรู้เรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับพระบิดา. ด้วยเหตุนี้ พระเยซูจึงตอบมารดาแบบซื่อ ๆ ตามประสาเด็กว่า “ทำไมต้องตามหาลูก? พ่อกับแม่ไม่รู้หรือว่าลูกต้องอยู่ในพระนิเวศของพระบิดา?”—ลูกา 2:49
26 โยเซฟคงคิดถึงถ้อยคำเหล่านั้นอีกหลายต่อหลายครั้ง. เขาอาจยิ้มด้วยความภาคภูมิใจด้วยซ้ำ. ที่จริง เขาเองเป็นคนพร่ำสอนบุตรบุญธรรมให้มีความรู้สึกเช่นนั้นต่อพระยะโฮวาพระบิดาในสวรรค์. แม้พระเยซูยังเป็นเด็ก แต่เนื่องจากโยเซฟเป็นบิดาที่รักและเอาใจใส่ครอบครัวอย่างดี พระองค์จึงเข้าใจว่า “บิดา” ที่เปี่ยมด้วยความรักเป็นอย่างไร.
27. ในฐานะพ่อ คุณมีหน้าที่รับผิดชอบอันมีเกียรติอะไร และทำไมคุณควรนึกถึงตัวอย่างของโยเซฟ?
27 ถ้าคุณเป็นพ่อ คุณได้ช่วยลูกให้เข้าใจไหมว่าพ่อที่รักและพร้อมจะปกป้องลูกนั้นเป็นอย่างไร? และคุณตระหนักไหมว่าการช่วยลูกเช่นนี้เป็นหน้าที่รับผิดชอบอันมีเกียรติจริง ๆ? ถ้าคุณมีลูกเลี้ยงหรือลูกบุญธรรม ขอให้คุณนึกถึงตัวอย่างของโยเซฟและปฏิบัติต่อลูกด้วยความรัก ให้ลูกรู้สึกว่าเขาเป็นคนพิเศษและมีค่าสำหรับคุณ. จงช่วยพวกเขาให้พัฒนาสายสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพระยะโฮวาพระเจ้า พระบิดาในสวรรค์.—อ่านเอเฟโซส์ 6:4
โยเซฟทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์โดยไม่ย่อท้อ
28, 29. (ก) บันทึกในลูกา 2:51, 52 บอกให้เรารู้อะไรเกี่ยวกับโยเซฟ? (ข) โยเซฟช่วยบุตรของตนให้มีสติปัญญาเพิ่มขึ้นอย่างไร?
28 คัมภีร์ไบเบิลกล่าวถึงชีวิตของโยเซฟอีกเพียงเล็กน้อย แต่เรื่องราวเหล่านั้นก็มีค่าแก่การใคร่ครวญ. เราอ่านว่าพระเยซูทรง ‘อยู่ในการปกครองของบิดามารดาต่อไป.’ นอกจากนี้ เราได้รู้ว่า “พระเยซูก็เจริญขึ้นทั้งทางสติปัญญาและทางกาย และเป็นที่ชื่นชอบของพระเจ้าและคนทั้งหลายมากขึ้นเรื่อย ๆ.” (อ่านลูกา 2:51, 52 ) ถ้อยคำเหล่านั้นบอกให้รู้อะไรเกี่ยวกับโยเซฟ? มีหลายเรื่องทีเดียว. เราเรียนรู้ว่าโยเซฟยังทำหน้าที่ประมุขครอบครัว เพราะบุตรที่เป็นมนุษย์สมบูรณ์แสดงความนับถือและยอมอยู่ใต้อำนาจเขาในฐานะบิดา.
29 นอกจากนั้น เรายังได้รู้ว่าพระเยซูมีสติปัญญาเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ. โยเซฟคงมีบทบาทอย่างมากในเรื่องนี้. ในสมัยนั้น มีสุภาษิตข้อหนึ่งที่ชาวยิวรู้จักดีซึ่งยังหาอ่านได้จนถึงทุกวันนี้. สุภาษิตนั้นบอกว่า เฉพาะคนที่มีชีวิตสุขสบายจึงจะเป็นคนมีปัญญา แต่คนที่ทำงานหนัก เช่น ช่างไม้ ชาวนาชาวไร่ และช่างตีเหล็ก “ไม่สามารถเข้าใจเรื่องความยุติธรรมและการพิพากษา และจะไม่พบพวกเขาในที่ชุมนุมของเหล่านักปราชญ์.” ในเวลาต่อมา พระเยซูแสดงให้เห็นว่าสุภาษิตข้อนี้ไม่เป็นความจริง. บ่อยเพียงไรที่พระเยซูผู้เยาว์วัยได้ยินบิดาเลี้ยงพร่ำสอนเรื่อง “ความยุติธรรมและการพิพากษา” ของพระยะโฮวา. โยเซฟสามารถสอนพระองค์ให้เข้าใจเรื่องที่ลึกซึ้งได้แม้จะเป็นเพียงช่างไม้ที่ต่ำต้อย. แน่นอน โยเซฟคงทำเช่นนั้นหลายครั้งหลายหน.
30. โยเซฟวางตัวอย่างที่ดีอย่างไรให้หัวหน้าครอบครัว?
30 เรายังเห็นด้วยว่าโยเซฟช่วยพระเยซูให้เติบโตด้านร่างกายด้วย. เนื่องจากได้รับการเอาใจใส่อย่างดี พระเยซูจึงเติบโตขึ้นเป็นชายหนุ่มที่มีสุขภาพดีและร่างกายแข็งแรง. นอกจากนั้น โยเซฟยังฝึกบุตรชายคนนี้ให้เป็นช่างไม้ที่ชำนาญ. พระเยซูไม่เพียงได้ชื่อว่าลูกช่างไม้ แต่ยังถูกเรียกว่า “ช่างไม้” ด้วย. (มโก. 6:3) นี่แสดงว่าการสอนของโยเซฟได้ผลดี. หัวหน้าครอบครัวควรเลียนแบบโยเซฟโดยเอาใจใส่ดูแลสวัสดิภาพของลูก และสอนลูกให้สามารถหาเลี้ยงตัวเองได้เมื่อเติบโตขึ้น.
31. (ก) หลักฐานต่าง ๆ บ่งชี้ว่าโยเซฟเสียชีวิตเมื่อไร? (ดู กรอบด้วย) (ข) โยเซฟเป็นแบบอย่างที่ยอดเยี่ยมแก่เราอย่างไร?
31 เมื่อเราอ่านบันทึกตอนที่พระเยซูรับบัพติสมาเมื่ออายุประมาณ 30 พรรษา เราจะเห็นว่าคัมภีร์ไบเบิลไม่ได้กล่าวถึงโยเซฟอีกเลย. หลักฐานต่าง ๆ บ่งชี้ว่ามาเรียน่าจะเป็นม่ายตอนที่พระเยซูเริ่มทำงานประกาศสั่งสอน. (ดูกรอบ “โยเซฟเสียชีวิตเมื่อไร?”) ถึงกระนั้น ประวัติชีวิตของโยเซฟก็เป็นเรื่องที่น่าจดจำเพราะเขาเป็นแบบอย่างที่ยอดเยี่ยมสำหรับพ่อ. เขาปกป้องดูแล หาเลี้ยงครอบครัว และทำหน้าที่ของตนอย่างซื่อสัตย์จนถึงที่สุด. ผู้เป็นพ่อ หัวหน้าครอบครัว และคริสเตียนทุกคนควรเลียนแบบความเชื่อของโยเซฟ.
a ในสมัยนั้น คนที่หมั้นกันมีฐานะใกล้เคียงกับคนที่สมรสกันแล้ว.
b ดาวดวงนี้ไม่ใช่ปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์และไม่ได้มาจากพระเจ้า. เห็นชัดว่าซาตานใช้ปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติในแผนการชั่วของมันเพื่อกำจัดพระเยซู.
c คัมภีร์ไบเบิลกล่าวชัดเจนว่าพระเยซูทำ “การอัศจรรย์ครั้งแรก” หลังจากพระองค์รับบัพติสมา.—โย. 2:1-11