บทสิบสี่
เขาเรียนเรื่องความเมตตา
1. จงพรรณนาว่าการเดินทางของโยนาห์เป็นอย่างไร และเขาอาจรู้สึกอย่างไรเมื่อคิดถึงจุดหมายปลายทาง.
โยนาห์มีเวลาถมเถที่จะใคร่ครวญ. เขากำลังจะเดินทางข้ามน้ำข้ามแผ่นดินเป็นระยะทางไกลกว่า 800 กิโลเมตร ซึ่งต้องใช้เวลาราว ๆ หนึ่งเดือนหรือมากกว่านั้น. ก่อนอื่นเขาต้องเลือกว่าจะใช้เส้นทางใด ระหว่างเส้นทางที่สั้นกว่าแต่อาจไม่ปลอดภัยหรือเส้นทางที่ปลอดภัยแต่มีระยะทางไกลกว่า ไม่ว่าจะเลือกเส้นทางไหนเขาก็ต้องผ่านทางที่มีหุบเขามากมาย. เขาคงเดินลัดเลาะไปตามขอบทะเลทรายซีเรียที่กว้างใหญ่ไพศาล ข้ามแม่น้ำหลายสาย เช่น แม่น้ำยูเฟรทิสที่กว้างใหญ่มาก และพักกับชนต่างชาติขณะที่เดินทางผ่านเมืองและหมู่บ้านต่าง ๆ ของชาวซีเรีย เมโสโปเตเมีย และอัสซีเรีย. ระหว่างทางโยนาห์คงคิดถึงจุดหมายปลายทางที่เขารู้สึกหวาดกลัวคือเมืองนีเนเวห์ซึ่งใกล้เข้าไปทุกที ๆ.
2. โยนาห์รู้ได้อย่างไรว่าเขาไม่อาจหนีงานมอบหมายได้อีก?
2 โยนาห์รู้ว่าเขาหันหลังกลับและหนีงานมอบหมายนี้ไม่ได้อีกเพราะเขาเคยทำมาแล้ว. บทก่อนเราเห็นว่าพระยะโฮวาสอนโยนาห์ด้วยความอดทน พระองค์ทำให้เกิดพายุกล้าในท้องทะเลและช่วยเขาอย่างอัศจรรย์โดยใช้ปลาใหญ่. สามวันต่อมา ปลาใหญ่สำรอกเขาออกมาบนฝั่ง. เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ทำให้เขาเจียมตัวและพร้อมจะเชื่อฟังพระเจ้ามากยิ่งขึ้น.—โยนา บท 1, 2
3. พระยะโฮวาแสดงคุณลักษณะใดต่อโยนาห์ และเกิดมีคำถามอะไร?
3 เมื่อพระยะโฮวาสั่งให้โยนาห์ไปเมืองนีเนเวห์เป็นครั้งที่สอง เขาเชื่อฟังโดยมุ่งหน้าไปทางตะวันออกบนเส้นทางที่ยาวไกล. (อ่านโยนา 3:1-3 ) ก่อนหน้านี้ พระยะโฮวาได้แสดงความเมตตาต่อเขา ช่วยเขาไม่ให้จมน้ำ ไม่ลงโทษที่เขาดื้อรั้นขัดขืน และให้โอกาสเขาทำงานมอบหมายเป็นครั้งที่สอง. แต่เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ทำให้โยนาห์เปลี่ยนนิสัยไหม? เขาเรียนรู้ที่จะเมตตาผู้อื่นด้วยไหม? มนุษย์ไม่สมบูรณ์มักเรียนรู้เรื่องนี้ได้ยาก. ให้มาดูว่าเรื่องราวของโยนาห์สอนอะไรเรา.
ข่าวสารเรื่องการพิพากษาและการตอบรับที่ผิดคาด
4, 5. นีเนเวห์เป็น “กรุงใหญ่” สำหรับพระยะโฮวาในแง่ใด และเรื่องนี้สอนอะไรเราเกี่ยวกับพระองค์?
4 พระยะโฮวามองเมืองนีเนเวห์ต่างจากโยนาห์ เมืองนี้มีความสำคัญสำหรับพระองค์. ในหนังสือโยนาพระยะโฮวาตรัสถึงเมืองนี้ถึง 3 ครั้งว่า “นีนะเว กรุงใหญ่.” (โยนา 1:2; 3:2; 4:11) ทำไมพระยะโฮวามองเมืองนี้ว่าเป็น “กรุงใหญ่” หรือมีความสำคัญ?
5 นีเนเวห์เป็นเมืองเก่าแก่ เป็นหนึ่งในเมืองแรก ๆ ที่นิมโรดสร้างขึ้นหลังจากน้ำท่วมโลก. เมืองนี้เป็นมหานครที่มีอาณาเขตกว้างขวางและดูเหมือนจะครอบคลุมเมืองอื่น ๆ อีกหลายเมือง จึงต้องใช้เวลาถึง 3 วันกว่าจะเดินข้ามเมืองจากฝั่งหนึ่งไปอีกฝั่งหนึ่งได้. (เย. 10:11; โยนา 3:3) นีเนเวห์เป็นเมืองที่มีวิหารใหญ่โตโอ่อ่า มีกำแพงแข็งแรงแน่นหนาและมีอาคารที่สำคัญอื่น ๆ อีก. แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้มีความสำคัญต่อพระยะโฮวาพระเจ้าเลย. สิ่งที่สำคัญสำหรับพระองค์คือผู้คน. ในสมัยนั้น นีเนเวห์ถือเป็นเมืองที่มีประชากรมาก. แม้คนเหล่านั้นจะทำชั่ว แต่พระยะโฮวาทรงห่วงใยพวกเขา. พระองค์ถือว่าชีวิตมนุษย์มีค่าและมองว่าพวกเขาอาจกลับเนื้อกลับตัวทำสิ่งที่ถูกต้องได้.
โยนาห์เห็นว่านีเนเวห์เป็นเมืองใหญ่ที่มีแต่คนทำการชั่ว
6. (ก) ทำไมโยนาห์รู้สึกพรั่นพรึงเมื่อเข้าไปในเมืองนีเนเวห์? (ดูเชิงอรรถด้วย) (ข) การที่โยนาห์ประกาศต่อชาวนีเนเวห์แสดงว่าเขามีคุณลักษณะอะไร?
6 ในที่สุด เมื่อเข้าไปในเมืองนีเนเวห์ โยนาห์คงรู้สึกพรั่นพรึงมากขึ้นเมื่อรู้ว่าเมืองนี้มีประชากรมากกว่า 120,000 คน. a เขาเดินอยู่ในเมืองนั้นตั้งแต่เช้ายันเย็น เดินลึกเข้าไปในเมืองที่มีฝูงชนขวักไขว่ อาจเพื่อมองหาที่เหมาะ ๆ ที่จะประกาศข่าวสารของเขา. เขาจะพูดกับคนเหล่านี้อย่างไร? เขาเคยหัดพูดภาษาอัสซีเรียมาก่อนไหม? หรือพระยะโฮวาทำให้เขาพูดภาษานั้นได้อย่างอัศจรรย์? เราไม่ทราบ. โยนาห์อาจประกาศข่าวสารด้วยภาษาฮีบรูแล้วให้ล่ามแปลเป็นภาษาของชาวนีเนเวห์ก็ได้. ไม่ว่าจะอย่างไร ข่าวสารของเขาก็เป็นแบบตรงไปตรงมาและคงไม่มีใครชอบ. เขากล่าวว่า “อีกสี่สิบวันกรุงนีนะเวจะถูกทำลายให้พินาศไป.” (โยนา 3:4) เขาประกาศอย่างกล้าหาญและพูดซ้ำแล้วซ้ำอีก. สิ่งนี้แสดงว่าเขามีความกล้าและความเชื่อมาก คริสเตียนในทุกวันนี้จำเป็นต้องมีคุณลักษณะเช่นนั้นยิ่งกว่าสมัยใด ๆ.
ข่าวสารของโยนาห์เป็นแบบตรงไปตรงมาและคงไม่มีใครชอบ
7, 8. (ก) ชาวนีเนเวห์มีปฏิกิริยาอย่างไรต่อข่าวสารที่โยนาห์ประกาศ? (ข) ข่าวสารที่โยนาห์ประกาศมีผลต่อกษัตริย์อย่างไร?
7 ชาวนีเนเวห์สนใจข่าวสารของโยนาห์. เขาคงคาดหมายว่าผู้คนจะเกลียดชังและต่อต้านเขาอย่างรุนแรง. แต่มีสิ่งที่ไม่น่าเชื่อเกิดขึ้น. ชาวนีเนเวห์เชื่อฟังเขา! คำกล่าวของเขาแพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว. ภายในช่วงเวลาสั้น ๆ คนทั้งเมืองต่างพูดถึงความพินาศที่โยนาห์ป่าวประกาศ. (อ่านโยนา 3:5 ) ทั้งคนรวยคนจน ชายและหญิง คนหนุ่มและคนแก่ต่างก็กลับใจ. ไม่ช้าข่าวเรื่องการกลับใจของประชาชนก็ลือไปถึงหูกษัตริย์.
โยนาห์ต้องมีความกล้าและความเชื่อเพื่อจะประกาศในเมืองนีเนเวห์ได้
8 กษัตริย์เองก็กลับใจเมื่อรู้ข่าวสารที่โยนาห์ประกาศ. กษัตริย์เกิดความเกรงกลัวพระเจ้า ลุกจากพระที่นั่ง ถอดฉลองพระองค์ที่หรูหราออกแล้วเปลี่ยนเป็นชุดผ้าเนื้อหยาบแบบเดียวกับประชาชน และถึงกับ “นั่งที่กองขี้เถ้า.” กษัตริย์และคณะรัฐมนตรีได้ออกราชกฤษฎีกาให้ประชาชนที่อดอาหารอยู่แล้วทำเช่นนั้นต่อไปโดยให้ถือเป็นคำสั่งจากทางการ. กษัตริย์สั่งให้ทุกคนสวมเสื้อผ้ากระสอบ ไม่เว้นแม้แต่สัตว์เลี้ยงในบ้าน. b กษัตริย์ถ่อมพระทัยยอมรับว่าประชาชนของพระองค์ประพฤติชั่วและเป็นคนรุนแรง. พระองค์ยังหวังด้วยว่าพระเจ้าเที่ยงแท้จะทรงเมตตาเมื่อเห็นประชาชนทั้งปวงกลับใจโดยตรัสว่า “ใครจะรู้ได้ว่าพระเจ้าจะไม่ทรง . . . คลายจากพระพิโรธอันร้ายแรง; และเราจะไม่ถึงซึ่งความพินาศ.”—โยนา 3:6-9
9. นักวิจารณ์ตั้งข้อสงสัยเช่นไรเรื่องชาวนีเนเวห์ แต่ทำไมเรื่องที่พวกเขาสงสัยไม่ถูกต้อง?
9 นักวิจารณ์บางคนตั้งข้อสงสัยเรื่องที่ชาวนีเนเวห์กลับใจเร็วเกินไป. อย่างไรก็ตาม ผู้คงแก่เรียนด้านคัมภีร์ไบเบิลให้ข้อสังเกตว่า การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเช่นนั้นสอดคล้องกับลักษณะของผู้คนในวัฒนธรรมนั้นซึ่งเชื่อถือโชคลางและค่อนข้างงมงาย. นอกจากนั้น เรารู้ว่าการตั้งข้อสงสัยเช่นนั้นไม่ถูกต้อง เพราะต่อมาพระเยซูคริสต์ก็ตรัสถึงชาวนีเนเวห์ที่ได้กลับใจ. (อ่านมัดธาย 12:41 ) พระเยซูทราบเรื่องราวทั้งหมดเพราะเวลานั้นพระองค์อยู่ในสวรรค์และเห็นเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น. (โย. 8:57, 58) เราไม่ควรด่วนสรุป ว่าเป็นไปไม่ได้ที่ผู้คนจะกลับใจ ไม่ว่าเขาจะประพฤติชั่วช้าขนาดไหนก็ตาม. มีแต่พระยะโฮวาเท่านั้นที่รู้ว่าหัวใจมนุษย์เป็นเช่นไร.
ความเมตตาของพระเจ้ากับการไม่ยอมผ่อนปรนของมนุษย์
10, 11. (ก) พระยะโฮวามีปฏิกิริยาอย่างไรเมื่อเห็นชาวนีเนเวห์กลับใจ? (ข) ทำไมเราแน่ใจว่าการตัดสินของพระยะโฮวาไม่ผิดพลาด?
10 พระยะโฮวามีปฏิกิริยาอย่างไรเมื่อเห็นชาวนีเนเวห์กลับใจ? โยนาห์เขียนในภายหลังว่า “พระเจ้าได้ทรงเห็นการกระทำของเขา, ที่เขาได้กลับไม่ประพฤติในทางชั่วต่อไป, พระเจ้าก็ทรงกลับพระทัยไม่ลงโทษตามซึ่งพระองค์ได้ทรงตรัสไว้ว่าจะทรงกระทำแก่เขานั้น; และพระองค์ก็มิได้ทรงกระทำ.”—โยนา 3:10
11 นี่หมายความว่าในตอนแรกพระยะโฮวาทรงตัดสินชาวนีเนเวห์ผิดพลาดไหม? ไม่ใช่เช่นนั้น. คัมภีร์ไบเบิลบอกว่าทางทั้งปวงของพระยะโฮวายุติธรรม. (อ่านพระบัญญัติ 32:4 ) พระพิโรธอันชอบธรรมของพระยะโฮวาต่อเมืองนีเนเวห์ได้ลดน้อยลงเพราะทรงสังเกตว่าประชาชนเหล่านั้นกลับใจแล้ว และไม่สมควรที่จะลงโทษพวกเขาตามที่พระองค์ตั้งพระทัยไว้. ดังนั้น พระองค์จึงเห็นว่าควรแสดงความเมตตาต่อประชาชนเหล่านั้น.
12, 13. (ก) พระยะโฮวาทรงมีเหตุผล ปรับเปลี่ยนได้ และมีพระเมตตาในความหมายใด? (ข) ทำไมโยนาห์ไม่ได้พยากรณ์เท็จ?
12 พระยะโฮวาไม่ใช่พระเจ้าที่เข้มงวด เย็นชาหรือถึงกับโหดร้ายเหมือนที่ผู้นำทางศาสนามักทำให้เข้าใจเช่นนั้น. ตรงกันข้าม พระองค์เป็นพระเจ้าที่มีเหตุผล ปรับเปลี่ยนได้ และมีพระเมตตา. เมื่อพระองค์ตั้งพระทัยจะลงโทษคนชั่ว พระองค์จะส่งผู้รับใช้ของพระองค์ไปเตือนคนเหล่านั้นก่อน เพราะพระองค์ประสงค์จะเห็นคนชั่วกลับใจและเปลี่ยนแนวทางการประพฤติเหมือนอย่างชาวนีเนเวห์. (ยเอศ. 33:11) พระยะโฮวาบอกผู้พยากรณ์ยิระมะยาห์ว่า “เมื่อขณะเราจะว่าถึงเมืองใด ๆ, แลราชธานีใด ๆ, เพื่อจะถอนเสียแลฉุดลากลง, แลทำลายเสียนั้น, ถ้าแม้นเมืองที่เราได้ประกาศว่าต่อสู้นั้น, จะหันกลับจากความชั่วของเขา, เราจะได้กลับหันจากความร้ายที่เราหมายจะกระทำแก่เขานั้น.”—ยิระ. 18:7, 8
พระเจ้าประสงค์จะเห็นคนชั่วกลับใจและเปลี่ยนแนวทางการประพฤติเหมือนชาวนีเนเวห์
13 นี่หมายความว่าโยนาห์พยากรณ์เท็จไหม? ไม่ คำพยากรณ์นี้มีจุดประสงค์เพื่อเตือนชาวนีเนเวห์ให้กลับใจ. พระยะโฮวาให้โยนาห์ประกาศคำเตือนนี้เพราะชาวนีเนเวห์ทำชั่ว แต่หลังจากได้ยินคำเตือน พวกเขาก็เปลี่ยนแนวทางการประพฤติ. ถ้าชาวนีเนเวห์กลับไปทำชั่วอีก พระเจ้าจะพิพากษาพวกเขาและนั่นได้เกิดขึ้นจริงในเวลาต่อมา.—ซฟัน. 2:13-15
14. โยนาห์มีปฏิกิริยาอย่างไรเมื่อพระยะโฮวาไม่ทำลายเมืองนีเนเวห์?
14 โยนาห์มีปฏิกิริยาอย่างไรเมื่อเมืองนีเนเวห์ไม่ได้ถูกทำลายอย่างที่เขาคาดคิด? เราอ่านว่า “แต่เหตุการณ์นี้ไม่เป็นที่พอใจแก่โยนาอย่างยิ่ง, ท่านโกรธมาก.” (โยนา 4:1) โยนาห์อธิษฐานถึงพระเจ้าซึ่งฟังเหมือนกับเขากำลังตำหนิพระองค์ด้วยซ้ำ. โยนาห์บ่นว่าเขาน่าจะอยู่ที่บ้านเกิดเมืองนอนของตน. โยนาห์อ้างว่าเขารู้อยู่แล้วว่าพระยะโฮวาจะไม่ทำลายเมืองนีเนเวห์ และถึงกับอ้างว่านี่แหละคือเหตุผลที่เขาหนีไปเมืองทาร์ชิช. แล้วโยนาห์ก็ขอให้ตนตายเสีย เขาพูดว่าตายเสียก็ดีกว่ามีชีวิตอยู่.—อ่านโยนา 4:2, 3
15. (ก) อะไรอาจทำให้โยนาห์รู้สึกขมขื่นใจ? (ข) พระยะโฮวาช่วยโยนาห์ที่กำลังทุกข์ใจอย่างไร?
15 ทำไมโยนาห์ขัดเคืองใจ? เราไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ แต่รู้ว่าเขาได้ประกาศแก่ทุกคนในนีเนเวห์ว่าเมืองนี้กำลังจะพินาศ. คนเหล่านั้นเชื่อเขา ความพินาศจึงไม่ได้เกิดขึ้น. เขากลัวจะถูกหัวเราะเยาะหรือถูกตราหน้าว่าเป็นผู้พยากรณ์เท็จไหม? ไม่ว่าเขาจะรู้สึกอย่างไร เขาก็ไม่ได้รู้สึกยินดีเลยที่ประชาชนเหล่านั้นกลับใจหรือที่พระยะโฮวาแสดงความเมตตาต่อพวกเขา. ดูเหมือนว่าเขารู้สึกขมขื่นใจมากขึ้นเรื่อย ๆ สงสารตัวเอง และรู้สึกเสียหน้า. แต่พระยะโฮวาผู้เปี่ยมด้วยความเมตตายังเห็นความดีในตัวชายที่กำลังทุกข์ใจนี้. พระยะโฮวาไม่ได้ลงโทษเขาที่ไม่แสดงความนับถือ พระองค์กระตุ้นเขาให้คิดโดยถามอย่างอ่อนโยนว่า “การที่เจ้าโกรธเช่นนี้ถูกหรือ?” (โยนา 4:4) โยนาห์ทูลตอบอะไรไหม? คัมภีร์ไบเบิลไม่ได้บอก.
16. บางคนอาจมีความเห็นต่างจากพระเจ้าอย่างไร และเรื่องของโยนาห์สอนอะไรเรา?
16 เราอาจคิดว่าโยนาห์ทำไม่ถูก แต่เราควรจำไว้ว่าไม่ใช่เรื่องแปลกที่มนุษย์ไม่สมบูรณ์จะมีความเห็นต่างจากพระเจ้า. บางครั้งเราอาจคิดว่าพระยะโฮวาน่าจะยับยั้งไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่น่าเศร้า หรือพระองค์น่าจะทำลายคนชั่วทันที หรือถึงกับคิดว่าพระองค์น่าจะนำอวสานมาสู่โลกนี้ได้แล้ว. เรื่องของโยนาห์เตือนใจว่า เมื่อเรามีความเห็นต่างจากพระยะโฮวา เราต่างหากที่ควรจะปรับเปลี่ยนทัศนคติ ไม่ใช่พระองค์เพราะความคิดของพระองค์ถูกต้องเสมอ.
พระยะโฮวาสอนบทเรียนหนึ่งแก่โยนาห์
17, 18. (ก) โยนาห์ทำอะไรหลังจากออกจากเมืองนีเนเวห์? (ข) เรื่องของต้นน้ำเต้ามีผลต่อโยนาห์อย่างไร?
17 ผู้พยากรณ์ที่หดหู่เดินออกจากเมืองนีเนเวห์ เขาไม่ได้กลับบ้านแต่เดิน ไปทางตะวันออกซึ่งมีภูเขาหลายลูกและสามารถมองลงมาเห็นดินแดนแถบนั้น. เขาสร้างเพิงเล็ก ๆ และนั่งดูเมืองนีเนเวห์ที่อยู่เบื้องล่าง. เขาอาจยังหวังอยู่ลึก ๆ ว่าจะได้เห็นเมืองนี้ถูกทำลาย. พระยะโฮวาจะสอนชายผู้ดื้อรั้นนี้ให้มีความเมตตาได้อย่างไร?
18 พระยะโฮวาบันดาลให้ต้นน้ำเต้างอกขึ้นมาในตอนกลางคืน. โยนาห์ตื่นขึ้นมาก็เห็นต้นน้ำเต้านี้งอกงามดี มีใบกว้างให้ร่มเงามากกว่าเพิงที่ง่อนแง่นของเขา. เขาดีใจมาก. ต้นน้ำเต้าทำให้ ‘โยนามีความปีติยินดีอย่างยิ่ง’ เขาอาจคิดว่าการอัศจรรย์นี้แสดงว่าพระเจ้าอวยพรและพอพระทัยเขา. แต่การที่พระยะโฮวาให้มีต้นน้ำเต้างอกขึ้นมาไม่ได้เพียงเพื่อให้ร่มเงาแก่โยนาห์และทำให้เขาหายโกรธเท่านั้น. พระองค์ต้องการสอนบทเรียนที่สำคัญและเข้าถึงหัวใจของโยนาห์. พระองค์จึงทำการอัศจรรย์อีกครั้งโดยให้หนอนตัวหนึ่งมากินต้นน้ำเต้านั้นจนตาย. จากนั้น พระองค์ให้ “ลมร้อนตะวันออก” พัดมาจนโยนาห์ “เพลียสวิงสวาย.” โยนาห์รู้สึกห่อเหี่ยวอีกครั้ง และเขาขอพระยะโฮวาให้ตัวตายเสีย.—โยนา 4:6-8
19, 20. พระยะโฮวาอธิบายเรื่องต้นน้ำเต้าให้โยนาห์ฟังอย่างไร?
19 พระยะโฮวาถามโยนาห์อีกครั้งว่าที่เขาโกรธนั้นถูกแล้วหรือ ซึ่งครั้งนี้เป็นเรื่องต้นน้ำเต้าที่ตายไป. แทนที่จะสำนึกผิด โยนาห์กลับยืนยันความถูกต้องของตัวเองโดยพูดว่า “การที่ข้าพเจ้าโกรธถึงกับอยากตายนั้นถูกแล้ว.” ตอนนี้แหละเป็นเวลาเหมาะที่พระยะโฮวาจะสอนบทเรียนแก่เขา.—โยนา 4:9
พระเจ้าใช้ต้นน้ำเต้าเพื่อสอนโยนาห์เรื่องความเมตตา
20 พระเจ้าอธิบายให้โยนาห์ฟังว่า เขากำลังเศร้าเสียใจเพราะต้นไม้ต้นเดียวที่เติบโตขึ้นในชั่วข้ามคืนแต่แล้วก็ต้องตายไป ทั้ง ๆ ที่เขาเองไม่ได้ปลูกหรือทำให้เจริญเติบโต. แล้วพระเจ้ากล่าวสรุปว่า “อันตัวเราจะไม่อาลัยนีนะเวกรุงใหญ่นั้นซึ่งมีพลเมืองมากกว่าแสนสองหมื่นคน, เป็นผู้ไม่รู้เดียงสาว่าข้างไหนเป็นมือขวามือซ้าย, รวมทั้งสัตว์เดียรัจฉานเป็นอันมากด้วย, อย่างนั้นหรือ?”—โยนา 4:10, 11 c
21. (ก) พระยะโฮวาสอนโยนาห์โดยใช้ตัวอย่างอะไร? (ข) บันทึกของโยนาห์ช่วยเราให้ตรวจสอบตัวเองอย่างตรงไปตรงมาเช่นไร?
21 คุณรู้ไหมว่าทำไมพระยะโฮวาใช้ตัวอย่างนี้? โยนาห์ไม่ได้ดูแลต้นไม้นั้นเลย. แต่พระยะโฮวาทรงประทานชีวิตแก่ชาวนีเนเวห์และค้ำจุนชีวิตพวกเขาเช่นเดียวกับที่ทรงค้ำจุนสรรพชีวิตบนโลกนี้. โยนาห์ซึ่งเป็นถึงผู้พยากรณ์จะถือว่าต้นไม้ต้นเดียวมีค่ามากกว่าชีวิตมนุษย์ 120,000 คนรวมทั้งปศุสัตว์เหล่านั้นหรือ? เขาเป็นคนเห็นแก่ตัวไหม? เขาเสียดายต้นน้ำเต้าเพราะมันให้ประโยชน์แก่เขา. การที่เขาโกรธเรื่องเมืองนีเนเวห์ก็เพราะเหตุผลเดียวกัน. เขาต้องการจะรักษาหน้าและทำให้ทุกคนเห็นว่าเขาพูดถูก. เรื่องของโยนาห์อาจช่วยเราให้ตรวจสอบตัวเองอย่างตรงไปตรงมา. มีใครบ้างที่ไม่เคยเห็นแก่ตัว? เราควรขอบคุณพระยะโฮวาที่คอยสอนเราอย่างอดทน สอนเราให้เป็นเหมือนพระองค์มากขึ้น คือเป็นคนไม่เห็นแก่ตัว มีความเห็นอกเห็นใจ และเมตตากรุณาผู้อื่น.
22. (ก) คำสอนที่ยอดเยี่ยมของพระยะโฮวาในเรื่องความเมตตามีผลต่อโยนาห์อย่างไร? (ข) เราทุกคนต้องเรียนรู้เรื่องอะไร?
22 โยนาห์ได้บทเรียนจากเรื่องนี้ไหม? หนังสือโยนานั้นแหละเป็นคำตอบ. แม้ว่าหนังสือที่เขียนโดยใช้ชื่อของเขาจบลงด้วยคำถามของพระยะโฮวาที่ไม่ได้รับคำตอบ และนักวิจารณ์บางคนอ้างว่าโยนาห์ไม่เคยตอบคำถามนั้น. แต่มีหลักฐานว่าโยนาห์เป็นผู้เขียนหนังสือที่ใช้ชื่อของเขา. ลองนึกภาพว่าโยนาห์กลับไปอยู่ที่บ้านเกิดเมืองนอนแล้วเขียนบันทึกเล่มนี้. เราเห็นภาพชายชราคนหนึ่งซึ่งตอนนี้เป็นคนสุขุมและถ่อมตัวมากขึ้น กำลังนั่งส่ายศีรษะด้วยความเสียใจเมื่อเขียนพรรณนาความผิดพลาดและความดื้อรั้นของตน รวมทั้งเรื่องที่เขาไม่ยอมแสดงความเมตตา. เห็นได้ชัดว่าโยนาห์ได้บทเรียนจากการสอนที่ยอดเยี่ยมของพระยะโฮวา. เขาเรียนที่จะเป็นคนเมตตา. แล้วเราล่ะ เราได้เรียนไหม?—อ่านมัดธาย 5:7
a มีการประมาณว่า ในสมัยโยนาห์ กรุงซะมาเรียเมืองหลวงของอิสราเอลอาจมีประชากรราว ๆ 20,000 ถึง 30,000 คนซึ่งยังไม่ถึงหนึ่งในสี่ของประชากรเมืองนีเนเวห์. ในยุคที่นีเนเวห์เจริญรุ่งเรืองที่สุด เมืองนี้อาจเคยเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้วยซ้ำ.
b เรื่องนี้อาจฟังดูแปลก แต่ก็เกิดขึ้นจริงในสมัยโบราณ. เฮโรโดทุสนักประวัติศาสตร์ชาวกรีกเขียนว่า ชาวเปอร์เซียโบราณโศกเศร้าอาลัยต่อการจากไปของนายพลที่เขาชื่นชอบถึงขนาดที่ให้ฝูงปศุสัตว์ของตนไว้ทุกข์ด้วย.
c การที่พระเจ้าตรัสว่าคนเหล่านั้นไม่รู้ว่าข้างไหนเป็นมือขวามือซ้ายกำลังบอกเป็นนัย ๆ ว่าพวกเขาไม่รู้จักมาตรฐานของพระเจ้าเลยแม้แต่น้อย.