จงเลียนแบบความเชื่อของเขา | ซาราห์
“เธอเป็นคนสวยมาก”
ซาราห์ยืนอยู่กลางห้องและมองไปรอบ ๆ ลองนึกภาพผู้หญิงชาวตะวันออกกลางผู้มีดวงตาสีดำอันงดงามซึ่งสะท้อนถึงความรู้สึกที่อยู่ภายใน แววตาคู่นั้นบ่งบอกถึงความโศกเศร้าด้วยไหม? ถ้าใช่ เราก็พอจะเข้าใจได้ว่าทำไมเธอถึงรู้สึกแบบนั้น บ้านหลังนี้มีความทรงจำอยู่มากมาย เธอกับอับราฮัมสามีสุดที่รักใช้เวลาอยู่ด้วยกันที่นี่อย่างมีความสุขมานาน * พวกเขาทำให้บ้านหลังนี้เป็นบ้านที่แสนสุขอย่างแท้จริง
พวกเขาอยู่ในเมืองเออร์ เมืองที่เจริญรุ่งเรืองและเต็มไปด้วยช่างศิลป์ ช่างฝีมือ และพ่อค้า พวกเขาต้องมีสมบัติเยอะแน่ ๆ สำหรับซาราห์แล้วบ้านไม่ได้เป็นแค่ที่เก็บทรัพย์สมบัติ แต่บ้านมีความหมายกับเธอมากกว่านั้น เธอกับสามีร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันในที่แห่งนี้ พวกเขาอธิษฐานถึงพระยะโฮวาพระเจ้าที่พวกเขารักในบ้านหลังนี้นับครั้งไม่ถ้วน ซาราห์มีเหตุผลมากมายที่จะรักที่นี่
ถึงอย่างนั้น ซาราห์ก็เต็มใจย้ายออกจากที่ที่เธอคุ้นเคย แม้ตอนนั้นเธออาจอายุประมาณ 60 ปีแล้ว แต่ก็ยอมเดินทางไปในดินแดนที่ไม่รู้จัก ต้องเสี่ยงชีวิตในที่ ๆ เต็มไปด้วยอันตรายและความยากลำบาก แถมยังไม่มีหวังว่าจะได้กลับมาที่นี่อีก อะไรทำให้เธอยอมเปลี่ยนแปลงชีวิตอย่างสิ้นเชิงแบบนั้น? และพวกเราในทุกวันนี้สามารถเรียนอะไรได้จากความเชื่อของเธอ?
“ให้เจ้าออกจากแผ่นดินที่เจ้าอยู่”
ซาราห์อาจเติบโตมาในเมืองเออร์ ปัจจุบันเมืองนี้เหลือแต่ซากปรักหักพังและรกร้างว่างเปล่าซึ่งต่างกับในสมัยของซาราห์ที่มีเรือของพวกพ่อค้านำสิ่งของล้ำค่ามาจากแดนไกล เรือเหล่านั้นมุ่งหน้าสู่เมืองที่รุ่งเรืองนี้อย่างไม่ขาดสายผ่านทางแม่น้ำลำคลองสายต่าง ๆ ที่แตกแขนงมาจากแม่น้ำยูเฟรติส ผู้คนเบียดเสียดกันตามถนนสายต่าง ๆ ที่คับแคบและวกวนของเมืองเออร์ เรือจำนวนมากจอดเทียบท่าอย่างหนาแน่นและสินค้ามากมายถูกลำเลียงสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง ลองนึกภาพซาราห์ที่เติบโตมาในเมืองที่พลุกพล่านแห่งนี้ เธอคงรู้จักคนมากมาย และหลายคนก็คงรู้จักเธอด้วย เพราะเธอเป็นผู้หญิงที่สวยโดดเด่นมาก และมีครอบครัวใหญ่อยู่ที่นั่น
ซาราห์เป็นที่รู้จักในคัมภีร์ไบเบิลว่าเธอมีความเชื่อเข้มแข็ง แต่ไม่ใช่ความเชื่อในเทพเจ้าแห่งดวงจันทร์เหมือนที่คนในเมืองเออร์นิยมนมัสการ คนที่นั่นสร้างหอคอยตั้งตระหง่านอยู่ในเมืองสำหรับเทพเจ้าองค์นี้ แทนที่ซาราห์จะเป็นเหมือนพวกเขา เธอนมัสการพระยะโฮวาพระเจ้าองค์เที่ยงแท้ คัมภีร์ไบเบิลไม่ได้บอกว่าเธอเริ่มมีความเชื่อได้อย่างไรเพราะมีช่วงหนึ่งที่พ่อของเธอก็ไหว้รูปเคารพ แต่เรารู้ว่าเธอแต่งงานกับอับราฮัมซึ่งมีอายุมากกว่าเธอสิบปี * (ปฐมกาล 17:17) ต่อมา อับราฮัมได้กลายมาเป็น “พ่อของทุกคนที่มีความเชื่อ” (โรม 4:11) พวกเขาร่วมกันสร้างชีวิตคู่ที่มีความสุขและมีสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น พวกเขาให้เกียรติกัน พูดคุยกันอย่างดี และร่วมมือกันแก้ปัญหายุ่งยากที่ผ่านเข้ามาในชีวิต เหนือสิ่งอื่นใด พวกเขามีสายสัมพันธ์ที่โดดเด่นเพราะความรักที่ทั้งคู่มีต่อพระเจ้า
ซาราห์รักสามีของเธอมาก ทั้งสองคนปลูกบ้านอยู่ใกล้กับญาติ ๆ ในเมืองเออร์ แต่หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็ต้องพบปฐมกาล 11:30) ในวัฒนธรรมสมัยนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นกับซาราห์เป็นเรื่องที่ทำให้ทุกข์ใจมาก แต่ซาราห์ยังซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าและต่อสามีของเธอ พวกเขารักโลทหลานชายที่กำพร้าพ่อเหมือนเป็นลูกของพวกเขาเอง ชีวิตดำเนินต่อไป จนวันหนึ่งทุกอย่างก็ไม่เหมือนเดิม
กับความผิดหวัง คัมภีร์ไบเบิลบอกว่าซาราห์ “เป็นหมัน ไม่มีลูก” (อับราฮัมเดินมาหาซาราห์ด้วยสีหน้าตื่นเต้น เขาแทบไม่เชื่อสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น พระเจ้าที่พวกเขานมัสการมาพูดกับเขา พระองค์ถึงกับปรากฏตัวให้เขาเห็นด้วยซ้ำ! แต่แน่นอนผู้ที่เขาเห็นต้องเป็นทูตสวรรค์ที่เป็นตัวแทนของพระองค์ ลองนึกภาพซาราห์สิ ดวงตาที่งดงามของเธอจ้องมองสามีอย่างไม่กะพริบ หัวใจแทบจะหยุดเต้น และถามสามีว่า “พี่บอกน้องหน่อยว่าพระองค์บอกอะไรพี่คะ!” อับราฮัมคงนั่งลงเพื่อรวบรวมความคิด แล้วเล่าให้ซาราห์ฟังว่าพระยะโฮวาพูดอะไร พระองค์บอกว่า “ให้เจ้าออกจากแผ่นดินที่เจ้าอยู่ ไปจากญาติพี่น้องของเจ้า แล้วไปแผ่นดินที่เราจะบอกให้ไป” (กิจการ 7:2, 3) หลังจากหายตื่นเต้นแล้ว พวกเขาคงคิดทบทวนถึงงานมอบหมายจากพระยะโฮวา พวกเขาต้องทิ้งชีวิตที่มั่นคงและสะดวกสบายไปเป็นคนเร่ร่อน! อับราฮัมคงต้องสังเกตว่าซาราห์คิดอย่างไร เธอจะเต็มใจสนับสนุนเขาในการเปลี่ยนแปลงชีวิตครั้งใหญ่นี้ไหม?
สิ่งที่ซาราห์ต้องเลือกอาจเป็นเรื่องแปลกสำหรับพวกเรา เราอาจคิดว่า ‘พระเจ้าไม่เคยขอให้ฉันหรือคู่ของฉันทำอะไรแบบนั้นเลย!’ แต่จริง ๆ แล้วเราทุกคนก็เจอทางเลือกคล้าย ๆ กันไม่ใช่หรือ? เพราะเราอยู่ในโลกแห่งวัตถุนิยม ซึ่งอาจทำให้เราเอาความสะดวกสบาย ทรัพย์สินเงินทอง หรือความมั่นคงมาเป็นอันดับแรกในชีวิต แต่คัมภีร์ไบเบิลสนับสนุนให้เราเลือกอีกทางหนึ่งคือ ให้การนมัสการพระเจ้ามาเป็นอันดับแรก และให้สิ่งที่พระเจ้าชอบมาก่อนสิ่งที่เราชอบ (มัทธิว 6:33) เมื่อเราใคร่ครวญสิ่งที่ซาราห์เลือก เราอาจถามตัวเองว่า ‘แล้วฉันล่ะ ฉันจะเลือกทางไหนในชีวิต?’
พวกเขา “ออกจากแผ่นดิน”
ตอนที่ซาราห์เก็บของ เธอคงลังเลใจว่าจะเอาอะไรไปและจะทิ้งอะไรไว้ เธอเอาของชิ้นใหญ่ ๆ ไปด้วยไม่ได้เพราะลาและอูฐในกองคาราวานคงแบกไม่ไหว และของที่ไม่จำเป็นคงไม่มีประโยชน์กับชีวิตที่ต้องเร่ร่อน แน่นอนว่าของพวกนั้นต้องถูกขายทิ้งหรือเอาไปให้คนอื่น ชีวิตที่สะดวกสบายในเมืองจบลงแล้ว ซาราห์คงไปตลาดใกล้บ้านเพื่อซื้อธัญพืช เนื้อสัตว์ ผลไม้ เสื้อผ้า ของใช้จำเป็น และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ ไม่ได้อีกแล้ว
ความเชื่อของซาราห์ทำให้เธอยอมทิ้งบ้านที่สะดวกสบายไป
สำหรับซาราห์แล้วสิ่งที่ยากกว่าอาจเป็นการทิ้งบ้านของเธอไป ถ้าบ้านของเธอเป็นเหมือนบ้านทั่ว ๆ ไปที่นักโบราณคดีค้นพบในเมืองเออร์ ซาราห์ก็คงต้องสละความสะดวกสบายอย่างมาก เพราะบ้านบางหลังในเมืองเออร์มีห้องมากกว่าสิบห้อง มีน้ำพุ และมีระบบน้ำประปา แม้แต่บ้านที่เรียบง่ายก็ยัง
มีหลังคาอย่างหนา มีกำแพง และประตูก็มีกลอนล็อกอย่างดี แล้วเต็นท์จะปกป้องทุกคนให้ปลอดภัยจากโจรได้เหมือนบ้านไหม? หรือปกป้องจากสัตว์ร้ายต่าง ๆ ได้ไหม? เช่น พวกสิงโต เสือดาว หมี และหมาป่า ซึ่งเป็นสัตว์ที่มีอยู่ทั่วไปทางแถบนั้นในสมัยคัมภีร์ไบเบิลแล้วคนอื่น ๆ ในครอบครัวล่ะ? ซาราห์ต้องจากใครไปบ้าง? พระเจ้าสั่งว่า “ให้เจ้าออกจากแผ่นดินที่เจ้าอยู่ ไปจากญาติพี่น้องของเจ้า” นี่อาจเป็นเรื่องที่ทำให้เธอลำบากใจมาก เนื่องจากซาราห์เป็นผู้หญิงอบอุ่น เป็นห่วงเป็นใยคนอื่น เธอคงผูกพันกับพี่น้อง หลาน ๆ ลุง ป้า น้า อาหลายคน แต่เธอคงไม่ได้เจอพวกเขาอีกแล้ว ถึงอย่างนั้น ซาราห์ก็เดินหน้าต่อไปอย่างเด็ดเดี่ยว ยิ่งวันเวลาผ่านไป เธอก็ยิ่งพร้อมที่จะออกเดินทาง
ทั้ง ๆ ที่ซาราห์ลำบากใจกับเรื่องเหล่านี้ แต่เธอก็เก็บสัมภาระและเตรียมพร้อมสำหรับวันที่จะออกเดินทาง เทราห์ซึ่งเป็นผู้อาวุโสในครอบครัวจะไปกับอับราฮัมและซาราห์ด้วยแม้เขาจะอายุประมาณ 200 ปีแล้ว (ปฐมกาล 11:31) แน่นอนว่าซาราห์คงต้องทำหลายอย่างเพื่อดูแลพ่อที่สูงอายุ นอกจากนั้น โลทก็จะไปกับพวกเขาด้วยเพราะพวกเขาเชื่อฟังพระยะโฮวาและ “ออกจากแผ่นดินชาวเคลเดีย”—กิจการ 7:4
กองคาราวานมุ่งหน้าสู่ฮารานเป็นที่แรก โดยไปทางตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ 960 กิโลเมตรตามเส้นทางของแม่น้ำยูเฟรติส พวกเขาพักที่ฮารานอยู่ช่วงหนึ่ง เทราห์ซึ่งคงป่วยมาระยะหนึ่งแล้วไม่สามารถเดินทางต่อไปได้อีก ครอบครัวจึงอยู่ที่นั่นจนเขาเสียชีวิตตอนอายุ 205 ปี ในช่วงหนึ่งก่อนจะออกเดินทางต่อ พระยะโฮวาพูดกับอับราฮัมอีกครั้ง พระองค์บอกให้เขาออกจากแผ่นดินนี้เพื่อไปแผ่นดินที่พระยะโฮวาจะบอกเขา ในครั้งนี้พระเจ้าบอกถึงคำสัญญาที่น่าตื่นเต้นด้วยว่า “เราจะให้เจ้ากลายเป็นชาติใหญ่” (ปฐมกาล 12:2-4) แต่ตอนที่ออกจากฮาราน อับราฮัมอายุ 75 ปีและซาราห์ก็อายุ 65 แล้ว และพวกเขายังไม่มีลูกสักคน แล้วชาติทั้งชาติจะมาจากอับราฮัมได้อย่างไร? เขาต้องมีภรรยาอีกคนไหม? การมีภรรยาหลายคนเป็นเรื่องปกติในสมัยนั้น ดังนั้น ซาราห์อาจกำลังคิดถึงเรื่องนี้
ไม่ว่าอย่างไร พวกเขาก็ออกจากฮารานและรีบเดินทางต่อ ตอนนี้มีใครบ้างที่ไปกับพวกเขา คัมภีร์ไบเบิลบอกให้เรารู้ว่า ครอบครัวอับราฮัมได้ทรัพย์สินเพิ่มและได้ “คนรับใช้ที่มาอยู่ด้วยตอนอยู่ที่เมืองฮาราน” (ปฐมกาล 12:5) แน่นอนว่าอับราฮัมและซาราห์ได้บอกความเชื่อของพวกเขาให้กับคนที่ยินดีรับฟัง บทวิจารณ์ของชาวยิวสมัยโบราณบอกว่า คนที่มีการพูดถึงในข้อคัมภีร์นี้รวมถึงคนที่เปลี่ยนมาเป็นยิวด้วย ซึ่งพวกเขาได้มานมัสการพระยะโฮวาร่วมกับอับราฮัมและซาราห์ นี่แสดงว่าความเชื่อที่ลึกซึ้งของซาราห์ทำให้เธอเล่าเรื่องพระเจ้าและความหวังของเธอด้วยความมั่นใจซึ่งได้ช่วยหลายคนให้มานมัสการพระเจ้า เราจะได้ประโยชน์ถ้าใคร่ครวญเกี่ยวกับเรื่องนี้เพราะเราอยู่ในช่วงเวลาที่ความเชื่อและความหวังลดน้อยลงทุกที ดังนั้น เมื่อเราเรียนสิ่งดี ๆ จากคัมภีร์ไบเบิล เราก็น่าจะเล่าให้คนอื่นฟัง
“ลงไปอยู่ที่อียิปต์”
หลังจากข้ามแม่น้ำยูเฟรติสไปแล้ว พวกเขาก็มุ่งหน้าลงใต้ไปแผ่นดินที่พระเจ้าสัญญาราว ๆ วันที่ 14 เดือนนิสาน ปี 1943 ก่อน ค.ศ. (อพยพ 12:40, 41) ลองนึกภาพซาราห์มองไปรอบ ๆ เธอเห็นทิวทัศน์ที่สวยงาม พรรณไม้ที่หลากหลาย และได้สัมผัสบรรยากาศที่สดชื่นของแผ่นดินนี้ ต่อมา พระยะโฮวาก็ปรากฏตัวต่ออับราฮัมใกล้ต้นไม้ใหญ่ที่โมเรห์ใกล้กับเชเคม พระองค์พูดกับอับราฮัมอีกครั้งว่า “เราจะยกแผ่นดินนี้ให้ลูกหลานเจ้า” คำว่า “ลูกหลาน” คงมีความหมายสำหรับอับราฮัมมากจริง ๆ! เขาอาจนึกย้อนไปในสมัยสวนเอเดนตอนที่พระยะโฮวาบอกว่าวันหนึ่งจะมีลูกหลานที่จะมาทำลายซาตาน และพระยะโฮวาก็บอกให้อับราฮัมรู้แล้วว่า ชาติหนึ่งที่มาจากเขาจะเปิดโอกาสให้มนุษย์ทั่วโลกได้รับพร—ปฐมกาล 3:15; 12:2, 3, 6, 7
อย่างไรก็ตาม พระยะโฮวาไม่ได้ปกป้องครอบครัวของอับราฮัมไว้จากปัญหาทุกอย่าง ตอนนั้นเกิดการขาดแคลนอาหารในแผ่นดินคานาอัน อับราฮัมจึงตัดสินใจพาครอบครัวลงใต้ไปอียิปต์ อย่างไรก็ตาม เขารู้สึกได้ถึงอันตรายบางอย่างของดินแดนแถบนี้ เขาจึงพูดกับซาราห์ว่า “ฉันรู้ว่าเธอเป็นคนสวยมาก ถ้าชาวอียิปต์เห็นเธอ พวกเขาจะบอกว่า ‘นี่เป็นภรรยาของผู้ชายคนนั้น’ แล้วพวกเขาก็จะฆ่าฉันทิ้งแต่ไว้ชีวิตเธอ ดังนั้น ขอให้บอกว่าเธอเป็นน้องสาวฉัน พวกเขาจะได้ทำดีกับฉันเพราะเห็นแก่เธอ และไม่ฆ่าฉันทิ้ง” (ปฐมกาล 12:10-13) ทำไมอับราฮัมถึงขออะไรแปลก ๆ แบบนั้น?
อับราฮัมไม่ใช่คนโกหกหรือขี้ขลาดแบบที่นักวิจารณ์หลายคนบอก ความจริงแล้วซาราห์ก็เป็นน้องสาวพ่อเดียวกันกับเขา และการระมัดระวังตัวของอับราฮัมก็มีเหตุผล อับราฮัมและซาราห์รู้ว่าไม่มีอะไรสำคัญมากไปกว่าความประสงค์ของพระเจ้าที่จะให้มีลูกหลานและมีชาติที่พิเศษผ่านทางอับราฮัม ความปลอดภัยของอับราฮัมจึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ยิ่งกว่านั้น หลักฐานทางโบราณคดียังยืนยันด้วยว่า ไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนมีอำนาจในอียิปต์จะจับตัวภรรยาไว้และฆ่าสามีทิ้ง ดังนั้น สิ่งที่อับราฮัมทำจึงเป็นการตัดสินใจที่ฉลาดและซาราห์ก็ร่วมมือด้วยความเต็มใจ
ไม่นานก็มีเหตุการณ์ที่พิสูจน์ว่าความกลัวของอับราฮัมเป็นเรื่องมีเหตุผล ขุนนางบางคนของฟาโรห์เห็นว่าซาราห์สวยโดดเด่นกว่าคนรุ่นเดียวกัน พวกเขาไปบอกฟาโรห์ ฟาโรห์จึงสั่งให้ไปพาตัวซาราห์มา! อับราฮัมคงต้องรู้สึกปวดร้าวใจอย่างแน่นอน และซาราห์เองก็คงกลัวและทุกข์ใจมาก อย่างไรก็ตาม ซาราห์ได้รับการดูแลอย่างดีเหมือนเป็นแขกที่มีเกียรติไม่ใช่เชลย เป็นไปได้ว่าฟาโรห์อยากเอาชนะใจเธอและใช้ความร่ำรวยเพื่อทำให้เธอประทับใจ และจากนั้นก็หวังว่าจะไปเจรจากับ “พี่ชาย” ของเธอเพื่อขอเธอมาเป็นภรรยา—ปฐมกาล 12:14-16
ลองนึกภาพซาราห์ ตอนที่เธอยืนมองทิวทัศน์ของประเทศอียิปต์จากหน้าต่างหรือระเบียงของวัง เธอจะรู้สึกอย่างไรที่ได้มาอยู่ในที่ที่มีรั้วรอบขอบชิดและมีหลังคาอีกครั้ง มีอาหารชั้นเลิศวางอยู่ตรงหน้า? ชีวิตที่หรูหราแบบนี้และอาจจะหรูหรากว่าชีวิตในเมืองเออร์ล่อใจเธอไหม? ลองคิดดูว่า ซาตานจะดีใจมากแค่ไหนถ้าเธอทิ้งอับราฮัมเพื่อจะมาเป็นภรรยาของฟาโรห์! แต่ซาราห์ไม่ได้ทำแบบนั้น เธอซื่อสัตย์ภักดีต่อสามี ต่อสายสมรส และต่อพระเจ้าของเธอ จะดีแค่ไหนถ้าคนที่แต่งงานแล้วทุกคนซื่อสัตย์ภักดีต่อคู่ของตัวเองแม้จะอยู่ในโลกที่เสื่อมทรามด้านศีลธรรม! คุณจะเลียนแบบซาราห์โดยซื่อสัตย์ภักดีต่อคนที่คุณรักและต่อเพื่อน ๆ ของคุณได้ไหม?
แม้จะถูกล่อใจที่วังของฟาโรห์ แต่ซาราห์ก็ซื่อสัตย์ภักดีต่อคู่ของเธอ
พระยะโฮวาเข้ามาช่วยปกป้องผู้หญิงที่น่ารักคนนี้ พระองค์ทำให้เกิดภัยพิบัติกับฟาโรห์และราชวงศ์ของเขา เมื่อฟาโรห์ได้มารู้ว่าซาราห์เป็นภรรยาของอับราฮัม เขาส่งเธอกลับไปให้สามีและขอให้ครอบครัวของอับราฮัมทั้งหมดออกไปจากอียิปต์ (ปฐมกาล 12:17-20) อับราฮัมคงดีใจมากแน่ ๆ ที่ได้ภรรยาสุดที่รักกลับคืนมา! เขาพูดกับเธอด้วยความรักว่า “ฉันรู้ว่าเธอเป็นคนสวยมาก” แต่จริง ๆ แล้ว อับราฮัมเห็นค่าความงามอีกอย่างหนึ่งของซาราห์มากกว่าความงามที่อยู่ภายนอก เธอมีความงามภายในซึ่งเป็นความงามที่พระยะโฮวาเห็นค่า (1 เปโตร 3:1-5) ความงามแบบนี้เป็นสิ่งที่เราทุกคนสร้างได้ ถ้าเราให้ความสัมพันธ์กับพระเจ้ามาก่อนวัตถุสิ่งของ พยายามแบ่งปันความรู้ของพระเจ้าให้กับคนอื่น และทำตามมาตรฐานทางศีลธรรมของพระเจ้าอย่างซื่อสัตย์แม้จะถูกล่อใจ เราก็กำลังเลียนแบบความเชื่อของซาราห์
^ วรรค 3 ตอนแรก พวกเขาชื่อว่าอับรามและซาราย แต่พวกเขาเป็นที่รู้จักมากกว่าในชื่อที่พระยะโฮวาตั้งให้พวกเขาในภายหลัง—ปฐมกาล 17:5, 15
^ วรรค 8 ซาราห์กับอับราฮัมเป็นลูกของเทราห์ แต่ซาราห์เป็นน้องสาวคนละแม่กับอับราฮัม (ปฐมกาล 20:12) การแต่งงานแบบนั้นเป็นเรื่องไม่เหมาะสมในสมัยปัจจุบัน แต่เราต้องจำไว้ว่าสมัยนั้นต่างจากสมัยนี้ เพราะในตอนนั้นมนุษย์มีความใกล้เคียงความสมบูรณ์แบบเหมือนที่อาดัมกับเอวาเคยมี จึงทำให้การแต่งงานระหว่างญาติใกล้ชิดไม่ส่งผลเสียต่อพันธุกรรมของลูกหลานที่จะเกิดมา แต่หลังจากนั้นประมาณ 400 ปี เมื่อมนุษย์มีอายุขัยใกล้เคียงกับสมัยของเรา กฎหมายของโมเสสได้ห้ามการมีเพศสัมพันธ์ทุกรูปแบบระหว่างญาติใกล้ชิด—เลวีนิติ 18:6