เขียนโดยมัทธิว 24:1-51
เชิงอรรถ
ข้อมูลสำหรับศึกษา
ไม่เหลือหินซ้อนทับกันแม้แต่ก้อนเดียว: คำพยากรณ์ของพระเยซูเกิดขึ้นจริงอย่างน่าทึ่งในปี ค.ศ. 70 ตอนที่กองทัพโรมันทำลายกรุงเยรูซาเล็มและวิหาร เมืองทั้งเมืองพังราบเป็นหน้ากลองเหลือแค่กำแพงเมืองบางส่วน
ภูเขามะกอก: ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของกรุงเยรูซาเล็ม มีหุบเขาขิดโรนคั่นระหว่างภูเขามะกอกกับกรุงนี้ จากจุดนี้พระเยซูกับสาวกคือ “เปโตร ยากอบ ยอห์น และอันดรูว์” (มก 13:3, 4) สามารถมองเห็นกรุงเยรูซาเล็มและวิหารได้อย่างชัดเจน
ประทับอยู่: คำกรีก พารู่เซีย (คัมภีร์ไบเบิลส่วนใหญ่แปลว่า “การมา”) มีความหมายตรงตัวว่า “การอยู่ข้าง ๆ” การประทับของพระคริสต์ไม่ได้หมายถึงการมาหรือการมาถึงเท่านั้น แต่ครอบคลุมช่วงเวลาหนึ่ง ความหมายของคำ พารู่เซีย ในแง่นี้เห็นได้จาก มธ 24:37-39 ซึ่งมีการเปรียบ “สมัยของโนอาห์ . . . ในช่วงก่อนน้ำท่วม” กับ “การประทับของ ‘ลูกมนุษย์’” และใน ฟป 2:12 เปาโลก็ใช้คำกรีกนี้ด้วยตอนที่พูดถึงช่วงเวลาที่เขา “อยู่” กับพี่น้อง ซึ่งต่างจากช่วงเวลาที่เขา “ไม่ได้อยู่”
สมัยสุดท้าย: มาจากคำกรีก ซูนเทะเล่อา ที่มีความหมายว่า “ร่วมกันจบ, ประกอบรวมกันจนจบ, จบด้วยกัน” (มธ 13:39, 40, 49; 28:20; ฮบ 9:26) คำนี้หมายถึงช่วงเวลาที่มีเหตุการณ์หลายอย่างเกิดขึ้นซึ่งจะนำไปสู่ “จุดจบ” สุดท้ายที่พูดถึงใน มธ 24:6, 14 สำหรับคำว่า “จุดจบ” ในข้อคัมภีร์ 2 ข้อนี้มีการใช้คำกรีกอีกคำหนึ่งคือ เทะลอส—ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ มธ 24:6, 14 และส่วนอธิบายศัพท์คำว่า “สมัยสุดท้ายของโลกนี้”
โลกนี้: คำกรีก ไอโอน ที่มักจะแปลว่า “ยุค” อาจหมายถึงสภาพการณ์หรือลักษณะเด่นของโลกหรือบางส่วนของโลกในช่วงเวลาหนึ่งหรือสมัยหนึ่ง—ดูส่วนอธิบายศัพท์คำว่า “ยุค, โลกนี้”
พระคริสต์: คำกรีก ฮอ ฆะริสท็อส ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีความหมายเดียวกับคำว่า “เมสสิยาห์” (มาจากคำฮีบรู มาชีอัค) ทั้งสองคำแปลว่า “ผู้ถูกเจิม” โยเซฟุสนักประวัติศาสตร์ชาวยิวบอกว่าในศตวรรษแรกมีบางคนอ้างตัวว่าเป็นผู้พยากรณ์หรือผู้กอบกู้อิสรภาพ และสัญญาว่าจะปลดปล่อยประชาชนให้พ้นจากการกดขี่ของโรม หลายคนที่ติดตามเชื่อว่าคนเหล่านี้น่าจะเป็น “เมสสิยาห์”
จุดจบ: หรือ “จุดจบสุดท้าย” คำกรีกที่ใช้ในข้อนี้ (เทะลอส) ต่างจากคำกรีกที่แปลว่า “สมัยสุดท้าย” (ซูนเทะเล่อา) ใน มธ 24:3—ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ มธ 24:3 และส่วนอธิบายศัพท์คำว่า “สมัยสุดท้ายของโลกนี้”
สู้รบ: หรือ “ถูกกระตุ้น, ถูกปลุกเร้า” คำกรีกที่ใช้ในข้อนี้ถ่ายทอดแนวคิดเกี่ยวกับ “การเคลื่อนไปหาด้วยเจตนาร้าย” และอาจแปลได้อีกว่า “ลุกขึ้นต่อสู้” หรือ “เข้าสู่สงคราม”
ประเทศ: คำกรีก เอ็ธนอส มีความหมายกว้าง อาจหมายถึงผู้คนที่อาศัยในเขตปกครองหนึ่งหรือดินแดนหนึ่ง เช่น ในประเทศหนึ่ง และยังหมายถึงกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่งได้ด้วย—ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ มธ 24:14
ความทุกข์เหมือนตอนเจ็บท้องใกล้คลอด: ความหมายตรงตัวของคำกรีกนี้คือความเจ็บปวดอย่างรุนแรงเหมือนตอนคลอดลูก แม้บางครั้งคำนี้หมายถึงความทุกข์และความเจ็บปวดทั่ว ๆ ไป แต่เมื่อใช้ในท้องเรื่องนี้ทำให้คิดถึงการเจ็บท้องคลอด เพราะปัญหาและความทุกข์ที่มีบอกไว้ล่วงหน้าจะเกิดถี่ขึ้น รุนแรงขึ้น และยาวนานขึ้น แล้วหลังจากนั้นก็จะเกิดความทุกข์ยากลำบากครั้งใหญ่ที่บอกไว้ใน มธ 24:21
เพราะคุณเป็นสาวกของผม: หรือ “เพราะเห็นแก่ชื่อของผม” ในคัมภีร์ไบเบิล บางครั้งคำว่า “ชื่อ” หมายถึงตัวคนที่เป็นเจ้าของชื่อ ชื่อเสียงของเขา และทุกสิ่งที่เขาเป็น (ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ มธ 6:9) ในกรณีของพระเยซู ชื่อของท่านยังหมายถึงอำนาจและตำแหน่งที่พระเจ้าผู้เป็นพ่อให้กับท่าน (มธ 28:18; ฟป 2:9, 10; ฮบ 1:3, 4) ในข้อนี้พระเยซูบอกว่าผู้คนจะเกลียดชังสาวกเพราะสิ่งที่เกี่ยวข้องกับชื่อของท่าน ซึ่งก็คือตำแหน่งผู้ปกครองที่พระเจ้าแต่งตั้ง คือกษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งหลาย และเป็นผู้ที่ทุกคนต้องยอมอยู่ใต้อำนาจเพื่อจะได้ชีวิต—ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ ยน 15:21
จะทิ้งความเชื่อ: แปลตรงตัวว่า “จะถูกทำให้สะดุด” ในพระคัมภีร์คริสเตียนภาคภาษากรีก คำกรีก สคานดาลิโศ หมายถึงการสะดุดในความหมายเป็นนัย ซึ่งอาจรวมถึงการหลงทำผิดหรือการเป็นเหตุให้คนอื่นหลงทำผิดก็ได้ เมื่อมีการใช้คำนี้ในคัมภีร์ไบเบิล การทำผิดจึงอาจหมายถึงการฝ่าฝืนกฎหมายข้อใดข้อหนึ่งของพระเจ้าในเรื่องศีลธรรม การสูญเสียความเชื่อ หรือการยอมรับคำสอนเท็จ ในท้องเรื่องนี้ คำนี้ยังอาจแปลได้ด้วยว่า “จะถูกชักนำให้ทำผิด, จะทิ้งความเชื่อ” คำกรีกนี้ยังมีความหมายว่า “ไม่พอใจ” ได้ด้วย—ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ มธ 13:57; 18:7
ความชั่ว: คำกรีกที่แปลว่า “ความชั่ว” หมายถึงการที่ผู้คนฝ่าฝืนและไม่เคารพกฎหมาย พวกเขาทำเหมือนกับว่าบ้านเมืองไม่มีขื่อไม่มีแป เมื่อใช้ในคัมภีร์ไบเบิลคำนี้อาจหมายถึงการไม่สนใจกฎหมายของพระเจ้า—มธ 7:23; 2คร 6:14; 2ธส 2:3-7; 1ยน 3:4
คนส่วนใหญ่: คำนี้ไม่ได้หมายถึง “คนจำนวนมาก” เหมือนที่ใช้ในคัมภีร์ไบเบิลบางฉบับ แต่หมายถึง “ส่วนใหญ่” ของคนที่ได้รับอิทธิพลจากพวก “ผู้พยากรณ์เท็จ” และ “ความชั่ว” เหมือนที่บอกไว้ใน มธ 24:11, 12
อดทน: คำกริยากรีกที่แปลว่า “อดทน” (ฮูพอเมะโน ) มีความหมายตรงตัวว่า “อยู่ต่อ ๆ ไปภายใต้” มักมีการใช้คำนี้เพื่อหมายถึงการ “อยู่ต่อไปแทนที่จะหนี, ยืนหยัด, บากบั่น, ไม่ท้อถอย” (มธ 10:22; รม 12:12; ฮบ 10:32; ยก 5:11) ในท้องเรื่องนี้ คำนี้หมายถึงการทำหน้าที่สาวกของพระคริสต์ต่อไปไม่ว่าจะเจอการต่อต้านหรือปัญหาใด ๆ ก็ตาม—มธ 24:9-12
ที่สุด: ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ มธ 24:6, 14
ประกาศ: หรือ “การป่าวประกาศอย่างเปิดเผย”—ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ มธ 3:1
ข่าวดี: คำกรีก อืออางเกะลิออน มาจากคำว่า อือ หมายถึง “ดี” และ อางเกะลอส หมายถึง “คนที่นำข่าวมาให้, คนที่ประกาศ” (ดูส่วนอธิบายศัพท์) คัมภีร์ไบเบิลภาษาไทยบางฉบับแปลคำนี้ว่า “กิตติคุณ” และมีการแปลคำกรีกอีกคำหนึ่งที่เกี่ยวข้องกันว่า “ผู้ประกาศข่าวดี” (คำกรีก อืออางเกะลิสเทส)—กจ 21:8; อฟ 4:11; 2ทธ 4:5
รัฐบาลของพระเจ้า: ในพระคัมภีร์คริสเตียนภาคภาษากรีก คำว่า “ข่าวดี” (ดูข้อมูลสำหรับศึกษาคำว่าข่าวดีในข้อนี้) มักเกี่ยวข้องกับรัฐบาลของพระเจ้า ซึ่งเป็นเรื่องหลักที่พระเยซูประกาศและสอน—ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ มธ 3:2; 4:23; ลก 4:43
ทั่วโลก . . . ทุกชาติ: ทั้ง 2 คำนี้เน้นที่ขอบเขตของงานประกาศ คำกรีกที่แปลว่า “โลก” (ออยคู่เมะเน ) เมื่อใช้ในความหมายกว้าง ๆ จะหมายถึงโลกซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ (ลก 4:5; กจ 17:31; รม 10:18; วว 12:9; 16:14) ในศตวรรษแรก มีการใช้คำนี้เมื่อพูดถึงจักรวรรดิโรมันอันกว้างใหญ่ซึ่งเป็นที่ที่ชาวยิวกระจัดกระจายกันอยู่ (ลก 2:1; กจ 24:5) ส่วนคำกรีกที่แปลว่า “ชาติ” (เอ็ธนอส) เมื่อใช้ในความหมายกว้าง ๆ จะหมายถึงกลุ่มคนที่เกี่ยวข้องกันทางสายเลือดและใช้ภาษาเดียวกัน เชื้อชาติหรือกลุ่มคนแบบนี้มักจะอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีเขตแดนชัดเจน
เพื่อให้ . . . มีโอกาสได้ยิน: หรือ “เพื่อเป็นพยาน, เพื่อให้พยานหลักฐาน” นี่เป็นการรับรองว่าคนทุกชาติจะต้องได้ยินข่าวดี คำกรีก มาร์ทูริออน (พยาน, พยานหลักฐาน) และคำอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกันมักหมายถึงการพูดถึงข้อเท็จจริงและเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง (ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ กจ 1:8) ในข้อนี้พระเยซูบอกว่าจะมีการให้พยานหลักฐานไปทั่วโลกว่ารัฐบาลของพระเจ้าจะทำอะไรบ้างและบอกเล่าเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลนี้ พระเยซูบอกว่าการประกาศเรื่องรัฐบาลนี้ไปทั่วโลกจะเป็นส่วนสำคัญของ ‘สัญญาณที่บอกให้รู้ว่าท่านประทับอยู่’ (มธ 24:3) การที่คนทุกชาติจะได้ยินข่าวดีนี้ไม่ได้หมายความว่าคนทุกชาติจะเปลี่ยนมาเป็นคริสเตียนแท้ แต่หมายความว่าพวกเขาจะต้องได้ยินเรื่องนี้
จุดจบ: หรือ “จุดจบสุดท้าย”—ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ มธ 24:3, 6
สิ่งน่ารังเกียจที่ทำให้เกิดความรกร้างว่างเปล่า: ดาเนียลบอกล่วงหน้าว่า “สิ่งที่น่ารังเกียจ” จะเกี่ยวข้องกับความรกร้างว่างเปล่า (ดนล 9:27; 11:31; 12:11) คำพูดของพระเยซูในข้อนี้ทำให้รู้ว่า “สิ่งน่ารังเกียจที่ทำให้เกิดความรกร้างว่างเปล่า” ยังไม่ปรากฏในตอนนั้น แต่จะปรากฏในอนาคต และหลังจากพระเยซูตายไปแล้ว 33 ปีคริสเตียนก็เห็นว่าคำพยากรณ์นี้เกิดขึ้นจริงครั้งแรก พวกเขาได้เห็นสิ่งน่ารังเกียจมาอยู่ในที่บริสุทธิ์ บันทึกเหตุการณ์เดียวกันที่ ลก 21:20 บอกว่า “เมื่อคุณเห็นกองทัพมาตั้งค่าย ล้อมกรุงเยรูซาเล็ม ก็ให้รู้ว่ากรุงนี้ใกล้จะถูกทำลายให้ร้างเปล่าแล้ว” ในปี ค.ศ. 66 กองทัพโรมันมาล้อมกรุงเยรูซาเล็ม “เมืองบริสุทธิ์” ซึ่งชาวยิวมองว่าเป็นที่บริสุทธิ์ กรุงนี้เป็นศูนย์กลางของชาวยิวที่กบฏต่อโรม (มธ 4:5; 27:53) คริสเตียนที่มีความเข้าใจมองออกว่ากองทัพโรมันและธงต่าง ๆ ที่เป็นเหมือนรูปเคารพก็คือ “สิ่งน่ารังเกียจ” ที่พระเยซูบอกไว้ พวกเขาถือว่านี่เป็นสัญญาณสุดท้ายที่ทำให้รู้ว่าต้อง “หนีไปที่ภูเขา” (มธ 24:15, 16; ลก 19:43, 44; 21:20-22) หลังจากคริสเตียนหนีไปแล้ว กองทัพโรมันก็เข้ามาทำให้กรุงเยรูซาเล็มและชาติยิวเกิดความรกร้างว่างเปล่า กรุงเยรูซาเล็มถูกทำลายในปี ค.ศ. 70 และป้อมมาซาดาซึ่งเป็นที่มั่นสุดท้ายของชาวยิวถูกพวกโรมันทำลายในปี ค.ศ. 73 (เทียบกับ ดนล 9:25-27) การที่คำพยากรณ์นี้เกิดขึ้นจริงครั้งแรกครบทุกรายละเอียดให้หลักฐานหนักแน่นที่ทำให้มั่นใจได้ว่าในอนาคตคำพยากรณ์นี้จะเกิดขึ้นจริงในขอบเขตที่ยิ่งใหญ่กว่าแน่นอน ซึ่งจะจบด้วยการที่พระเยซู “มาบนเมฆในท้องฟ้าด้วยอำนาจและรัศมีแรงกล้า” (มธ 24:30) หลายคนไม่สนใจคำพูดของพระเยซูที่ว่าคำพยากรณ์ของดาเนียลจะเกิดขึ้นจริงหลังจากสมัยของท่าน แต่พวกเขาเชื่อคำสอนสืบปากของชาวยิวที่บอกว่าคำพยากรณ์ของดาเนียลหมายถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี 168 ก่อน ค.ศ. เมื่อกษัตริย์อันทิโอกุสที่ 4 (เอพิฟาเนส) แห่งซีเรียทำให้วิหารของพระยะโฮวาในกรุงเยรูซาเล็มแปดเปื้อน อันทิโอกุสพยายามกวาดล้างการนมัสการพระยะโฮวา เขาถึงกับสร้างแท่นบูชาของเขาคร่อมแท่นบูชาที่ยิ่งใหญ่ของพระยะโฮวา และถวายหมูเป็นเครื่องบูชาให้กับเทพซุสแห่งภูเขาโอลิมปัส (ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ ยน 10:22) หนังสือมัคคาบีฉบับที่ 1 (1:54) ซึ่งเป็นหนังสือนอกสารบบคัมภีร์ไบเบิลใช้คำคล้ายกับที่ใช้ในหนังสือดาเนียล (เชื่อมโยงสิ่งที่น่ารังเกียจกับความรกร้างว่างเปล่า) และใช้ข้อนี้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี 168 ก่อน ค.ศ. แต่คำสอนสืบปากของพวกยิวและเรื่องราวในหนังสือมัคคาบีฉบับที่ 1 เป็นการตีความของมนุษย์ ไม่ใช่การเปิดเผยที่ได้รับการดลใจ แม้อันทิโอกุสทำให้เกิดความรู้สึกรังเกียจโดยการทำให้วิหารแปดเปื้อน แต่การกระทำของเขาไม่ได้ทำให้กรุงเยรูซาเล็ม วิหาร หรือชาติยิวเกิดความรกร้างว่างเปล่า
ที่บริสุทธิ์: หมายถึงการเกิดขึ้นจริงครั้งแรกของคำพยากรณ์ที่เกี่ยวข้องกับกรุงเยรูซาเล็มและวิหาร—ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ มธ 4:5
(คนอ่านต้องสังเกตให้ดีถึงจะเข้าใจได้): ตามปกติแล้วเมื่อศึกษาถ้อยคำของพระเจ้า ผู้อ่านต้องสังเกตจุดต่าง ๆ ให้ดี แต่สำหรับคำพยากรณ์ของดาเนียลในส่วนนี้ ผู้อ่านต้องสังเกตเป็นพิเศษว่าคำพยากรณ์นี้จะเป็นจริงเมื่อไรและอย่างไร พระเยซูกำลังเตือนผู้ฟังให้รู้ว่าคำพยากรณ์นี้จะเกิดขึ้นในอนาคต ไม่ใช่เกิดขึ้นแล้วในอดีต—ดูข้อมูลสำหรับศึกษาคำว่าสิ่งน่ารังเกียจที่ทำให้เกิดความรกร้างว่างเปล่าในข้อนี้
แคว้นยูเดีย: คือแคว้นหนึ่งซึ่งเป็นเมืองขึ้นของโรม
ไปที่ภูเขา: ยูเซบิอุสนักประวัติศาสตร์ในศตวรรษที่ 4 บอกว่า คริสเตียนในยูเดียและเยรูซาเล็มหนีข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปที่เมืองเพลลาซึ่งอยู่แถบเทือกเขาของเขตเดคาโปลิส
ดาดฟ้า: หลังคาบ้านสมัยนั้นจะเป็นเหมือนดาดฟ้าที่แบนราบและใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง เช่น เก็บของ (ยชว 2:6) พักผ่อน (2ซม 11:2) นอนหลับ (1ซม 9:26) และฉลองเทศกาลเพื่อนมัสการพระเจ้า (นหม 8:16-18) จึงต้องมีกฎหมายสั่งให้ทำแนวกั้นรอบดาดฟ้า (ฉธบ 22:8) ปกติแล้ว จะมีบันไดที่สร้างไว้นอกตัวบ้าน หรือบันไดพาดสำหรับขึ้นลงดาดฟ้าโดยไม่ต้องเข้าไปในบ้าน คำพูดนี้ของพระเยซูเตือนว่าเป็นเรื่องเร่งด่วนที่จะต้องหนี
ฤดูหนาว: ในฤดูนี้จะมีฝนตกหนัก น้ำท่วม และอากาศหนาวเย็น ซึ่งทำให้ยากที่จะเดินทางและหาอาหารหรือที่พัก—อสร 10:9, 13
วันสะบาโต: ในพื้นที่แบบแคว้นยูเดีย คำสั่งห้ามหลายอย่างเกี่ยวกับวันสะบาโตทำให้ยากที่ผู้คนจะเดินทางไกลและแบกสัมภาระต่าง ๆ นอกจากนั้น ประตูเมืองจะปิดในวันสะบาโตด้วย—ดู กจ 1:12 และภาคผนวก ข12
พระคริสต์ปลอม: หรือ “เมสสิยาห์ปลอม” คำกรีก พะซือดอฆริสท็อส มีเฉพาะในข้อคัมภีร์นี้และในบันทึกเหตุการณ์เดียวกันที่ มก 13:22 คำนี้หมายถึงใครก็ตามที่อ้างตัวว่าเป็นพระคริสต์หรือเมสสิยาห์ (แปลตรงตัวว่า “ผู้ถูกเจิม”)—ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ มธ 24:5
อย่าลืมนะ: ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ มธ 1:23
การประทับ: ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ มธ 24:3
ลูกมนุษย์: ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ มธ 8:20
สัญญาณ . . . ที่บอกให้รู้ว่า ‘ลูกมนุษย์’ กำลังมา: สัญญาณนี้ไม่ใช่ “สัญญาณบอกให้รู้ว่า [พระเยซู] ประทับอยู่” ที่พูดถึงใน มธ 24:3 แต่เกี่ยวข้องกับการ “มา” ของลูกมนุษย์เพื่อประกาศคำพิพากษาและตัดสินลงโทษในช่วงความทุกข์ยากลำบากครั้งใหญ่—ดูข้อมูลสำหรับศึกษาคำว่ามาในข้อนี้
ร้องไห้คร่ำครวญ: หรือ “โศกเศร้า” แปลตรงตัวว่า “ทุบตีตัวเอง” ในสมัยคัมภีร์ไบเบิลเป็นเรื่องปกติที่คนเราจะเอามือทุบอกตัวเองหลายครั้งเพื่อแสดงความรู้สึกโศกเศร้าอย่างมากหรือแสดงความรู้สึกผิดและเสียใจ—อสย 32:12; นฮม 2:7; ลก 23:48
เห็น: คำกริยากรีกที่แปลว่า “เห็น” มีความหมายตรงตัวว่า “เห็นบางสิ่ง, มองดู” แต่ในความหมายเป็นนัยคำนี้ยังหมายถึง “เข้าใจ, มองออก”—อฟ 1:18
มา: นี่เป็นครั้งแรกในทั้งหมด 8 ครั้งที่พูดถึงการมาของพระเยซูในมัทธิวบท 24 และ 25 (มธ 24:42, 44, 46; 25:10, 19, 27, 31) ในแต่ละครั้ง มีการใช้คำกริยากรีก เออร์ฆอไม ซึ่งแปลว่า “มา” และในข้อนี้คำนี้หมายถึงการที่พระเยซูหันมาสนใจมนุษย์ โดยเฉพาะตอนที่ท่านมาประกาศคำพิพากษาและตัดสินลงโทษในช่วงความทุกข์ยากลำบากครั้งใหญ่
เมฆในท้องฟ้า: เมฆน่าจะบดบังการมองเห็นแทนที่จะช่วยให้เห็นชัดขึ้น แต่คนที่สังเกตจะ “เห็น” ด้วยตาแห่งความเข้าใจ—กจ 1:9
ทั้งสี่ทิศ: แปลตรงตัวว่า “ลมทั้งสี่” สำนวนนี้หมายถึงทิศทั้งสี่ตามเข็มทิศ คือ เหนือ ใต้ ออก ตก ซึ่งก็คือ “ทุกทิศทุกทาง, ทุกหนทุกแห่ง”—ยรม 49:36; อสค 37:9; ดนล 8:8
ตัวอย่าง: หรือ “บทเรียน”—ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ มธ 13:3
ฟ้าสวรรค์และโลกจะสูญสิ้นไป: ข้อคัมภีร์อื่น ๆ ช่วยให้เห็นว่าฟ้าสวรรค์และโลกจะคงอยู่ตลอดไป (ปฐก 9:16; สด 104:5; ปญจ 1:4) ดังนั้น คำพูดของพระเยซูในข้อนี้เป็นอติพจน์หรือคำพูดเกินจริง หมายความว่าถึงแม้สิ่งที่เป็นไปไม่ได้จะเกิดขึ้น เหมือนที่ฟ้าสวรรค์และโลกจะสูญสิ้นไป แต่คำพูดของพระเยซูจะยังเป็นจริงแน่นอน (เทียบกับ มธ 5:18) นอกจากนั้น ฟ้าสวรรค์และโลกในข้อนี้ยังอาจมีความหมายเป็นนัย คือเป็นสิ่งเดียวกับที่ วว 21:1 เรียกว่า “ฟ้าสวรรค์เก่าและโลกเก่า”
คำพูดของผมจะไม่มีวันสูญหายไป: แปลตรงตัวว่า “คำพูดของผมจะไม่ไม่สูญหายไป” การใช้คำว่า “ไม่” 2 ครั้งในภาษากรีกเป็นการเน้นว่าการกระทำนั้นไม่มีทางเกิดขึ้นได้เลย ซึ่งในข้อนี้เน้นให้เห็นว่าคำพูดของพระเยซูจะคงอยู่ตลอดไป
สมัยของโนอาห์: “สมัยของโนอาห์” ครอบคลุมช่วงเวลาหลายปี ดังนั้น การเปรียบเทียบนี้ช่วยให้เข้าใจว่า “การประทับ [หรือ “สมัย”] ของ ‘ลูกมนุษย์’” ที่บอกไว้ล่วงหน้าก็น่าจะครอบคลุมช่วงเวลาหลายปีเหมือนกัน และเช่นเดียวกับสมัยโนอาห์ซึ่งจบลงด้วยน้ำท่วมโลก “การประทับของ ‘ลูกมนุษย์’” ก็จะจบลงด้วยการทำลายคนที่ไม่แสวงหาความรอดจากพระเจ้า—ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ มธ 24:3
การประทับ: ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ มธ 24:3
น้ำท่วม: หรือ “น้ำท่วมโลก” คำกรีก คาทาคลูซะมอส หมายถึงน้ำท่วมใหญ่ที่มีพลังทำลายล้างอย่างรุนแรง คัมภีร์ไบเบิลใช้คำนี้กับน้ำท่วมโลกสมัยโนอาห์—มธ 24:39; ลก 17:27; 2ปต 2:5
เรือ: คำกรีกนี้อาจแปลได้ว่า “หีบ, กล่อง” อาจเป็นเพราะสิ่งที่โนอาห์สร้างมีรูปทรงสี่เหลี่ยมเหมือนกล่องขนาดใหญ่
ถูกพาไป . . . ถูกทิ้งไว้: ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ ลก 17:34
เฝ้าระวังอยู่เสมอ: คำกรีกนี้มีความหมายหลักว่า “ตื่นตัวอยู่เสมอ” แต่ในหลายท้องเรื่องก็อาจแปลได้ว่า “ระวังให้ดี, เฝ้าระวัง” มัทธิวใช้คำนี้ที่ มธ 24:43; 25:13; 26:38, 40, 41 และที่ มธ 24:44 เขาเชื่อมโยงคำนี้กับความจำเป็นที่ต้อง “เตรียมพร้อม”—ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ มธ 26:38
ทาส: พระเยซูใช้คำว่า “ทาส” ในรูปเอกพจน์ แต่คำนี้ไม่ได้หมายถึงทาสคนเดียวเท่านั้น ในพระคัมภีร์มีหลายตัวอย่างที่แสดงว่าคำนามเอกพจน์อาจหมายถึงทั้งกลุ่มก็ได้ เช่น ตอนที่พระยะโฮวาพูดกับชาวอิสราเอลว่า “พวกเจ้าเป็นพยานของเรา [พหูพจน์] . . . เป็นผู้รับใช้ [เอกพจน์] ที่เราได้เลือกไว้” (อสย 43:10) ในบันทึกเหตุการณ์เดียวกันที่ ลก 12:42 มีการเรียกทาสกลุ่มนี้ว่า “คนรับใช้ที่ซื่อสัตย์และสุขุม”—ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ ลก 12:42
สุขุม: คำกรีกในข้อนี้ถ่ายทอดแนวคิดเกี่ยวกับความเข้าใจที่มาพร้อมกับการคิดล่วงหน้า การคิดอย่างลึกซึ้ง การสังเกต ความรอบคอบ และความฉลาด มีการใช้คำกรีกเดียวกันนี้ที่ มธ 7:24 และ 25:2, 4, 8, 9 ในฉบับเซปตัวจินต์ ใช้คำนี้ที่ ปฐก 41:33, 39 เมื่อพูดถึงโยเซฟ
คนรับใช้: หรือ “คนรับใช้ในบ้าน” คำนี้หมายถึงทุกคนที่ทำงานในบ้านของเจ้านาย
ทาสคนนั้นชั่ว: คำพูดของพระเยซูในข้อนี้เป็นคำเตือนที่ให้กับทาสที่ซื่อสัตย์และสุขุมซึ่งพูดถึงใน มธ 24:45 พระเยซูไม่ได้บอกล่วงหน้าว่าจะมี ‘ทาสชั่ว’ และท่านก็ไม่ได้แต่งตั้งทาสชั่ว แต่ท่านกำลังเตือนทาสที่ซื่อสัตย์ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกเขาทำตัวเป็นทาสชั่ว ทาสที่ไม่ซื่อสัตย์แบบนั้นจะถูกลงโทษ “อย่างหนักที่สุด”—มธ 24:51; ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ ลก 12:45
ลงโทษเขาอย่างหนักที่สุด: แปลตรงตัวว่า “ตัดเขาเป็นสองท่อน” ดูเหมือนไม่ควรเข้าใจสำนวนนี้ตามตัวอักษร แทนที่จะเป็นอย่างนั้น สำนวนนี้หมายถึงการลงโทษที่รุนแรงมาก
คนหลอกลวง: ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ มธ 6:2
ด้วยความทุกข์ใจ: ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ มธ 8:12
วีดีโอและรูปภาพ

มีการพบหินเหล่านี้ทางทิศใต้ของกำแพงกรุงเยรูซาเล็มด้านตะวันตก เชื่อกันว่าหินเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของซากปรักหักพังบนภูเขาที่วิหารตั้งอยู่ซึ่งหลงเหลือมาจากศตวรรษแรก หินเหล่านี้ถูกทิ้งไว้เพื่อเตือนใจถึงความพินาศของกรุงเยรูซาเล็มและวิหารที่ถูกทำลายโดยพวกโรมัน

ภูเขามะกอก (หมายเลข 1) เป็นเทือกเขาหินปูนที่ทอดยาวอยู่ทางตะวันออกของกรุงเยรูซาเล็ม และมีหุบเขาขิดโรนคั่นระหว่างภูเขามะกอกกับกรุงนี้ ภูเขาที่วิหารตั้งอยู่ (หมายเลข 2) อยู่ตรงข้ามกับเนินเขาลูกหนึ่งซึ่งมีจุดสูงที่สุดประมาณ 812 เมตร จุดนี้เองคือบริเวณที่คัมภีร์ไบเบิลเรียกว่าภูเขามะกอก ซึ่งเป็นที่ที่พระเยซูอธิบายให้พวกสาวกฟังเรื่องสัญญาณที่บอกให้รู้ว่าท่านประทับอยู่

คำกรีก ฮิมาทิออน ที่แปลว่า “เสื้อชั้นนอก” อาจตรงกับคำฮีบรู ซิมลาห์ บางครั้งเสื้อชั้นนอกเป็นเสื้อคลุมยาวหลวม ๆ แต่ส่วนใหญ่แล้วเป็นแค่ผ้าสี่เหลี่ยมคลุมตัว เสื้อแบบนี้สวมใส่และถอดออกได้ง่าย

ในรูปนี้คือกิ่งของต้นมะเดื่อในช่วงฤดูใบไม้ผลิซึ่งแตกใบพร้อมกับมีลูกมะเดื่อรุ่นแรก ในอิสราเอลผลอ่อนรุ่นแรกมักจะออกมาในเดือนกุมภาพันธ์ แต่จะผลิใบในช่วงปลายเดือนเมษายนหรือพฤษภาคม ซึ่งทำให้รู้ว่าใกล้จะถึงฤดูร้อนแล้ว (มธ 24:32) ต้นมะเดื่อจะออกผลปีละ 2 ครั้ง ผลรุ่นแรกจะสุกในช่วงเดือนมิถุนายนหรือต้นเดือนกรกฎาคม (อสย 28:4; ยรม 24:2; ฮชย 9:10) หลังจากนั้น ผลจะออกจากกิ่งที่แตกใหม่ซึ่งเป็นผลผลิตหลักของฤดู ปกติแล้วผลรุ่นสองจะสุกตั้งแต่เดือนสิงหาคมเป็นต้นไป

ตามปกติแล้ว ผู้หญิง 2 คนจะโม่แป้งด้วยกันโดยใช้เครื่องโม่แบบหมุนด้วยมือซึ่งเป็นแบบหนึ่งที่ใช้กันในสมัยคัมภีร์ไบเบิล (ลก 17:35) พวกเขาจะนั่งหันหน้าเข้าหากัน แต่ละคนใช้มือหนึ่งจับที่ด้ามจับเพื่อหมุนหินชั้นบน ผู้หญิงคนหนึ่งจะใช้อีกมือหนึ่งค่อย ๆ ใส่เมล็ดพืชลงไปในช่องของหินชั้นบน ส่วนอีกคนหนึ่งจะรวบรวมแป้งที่ออกมาจากขอบของเครื่องโม่ซึ่งตกลงในถาดหรือผ้าที่รองไว้ใต้เครื่องโม่ พวกผู้หญิงจะโม่แป้งทุกวัน พวกเขาจะตื่นแต่เช้าเพื่อเตรียมแป้งไว้สำหรับทำขนมปังในวันนั้น