ทั้งๆที่ต้องรับโทษห้าปี แต่หลังจากอยู่ในคุกแค่สามปีผมก็ถูกปล่อยตัวเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 1946 ไม่กี่เดือนหลังสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง. ทันทีหลังจากพ้นโทษ ผมเริ่มรับใช้เป็นไพโอเนียร์อีก. ผมได้รับมอบหมายให้กลับไปที่เมืองเลฟเวนเวิร์ท รัฐแคนซัส. ผมรู้สึกกลัวเพราะคนที่นั่นมีอคติต่อพยานพระยะโฮวามาก. การหางานทำเป็นเรื่องยาก แต่ที่ยากยิ่งกว่านั้นคือการหาบ้านเช่า.
ผมยังจำได้ตอนที่ไปประกาศเจออดีตผู้คุมคนหนึ่ง เขาตะโกนใส่ผมว่า “ออกไปจากที่ดินของฉันเดี๋ยวนี้!” เมื่อเห็นไม้เบสบอลในมือของเขา ผมแอบกลืนน้ำลายแล้วรีบออกไปทันที. เมื่อไปอีกบ้านหนึ่งผมพบผู้หญิงที่บอกผมว่า “คอยเดี๋ยวนะ” แล้วเธอก็ปิดประตู. ผมรออยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆหน้าต่างชั้นบนก็เปิดออก แล้วน้ำล้างจานที่สกปรกก็เทลงมาบนหัวผมจนเปียกโชก. แต่ผมก็ได้พระพรมากมายจากงานรับใช้พระยะโฮวา. ต่อมา ผมได้รู้ว่าหลายคนที่รับหนังสืออธิบายคัมภีร์ไบเบิลจากผมได้เข้ามาเป็นพยานฯ.
ในปี 1943 มีการก่อตั้งโรงเรียนใหม่ทางเหนือของรัฐนิวยอร์กเพื่อฝึกอบรมมิชชันนารีของพยานพระยะโฮวา. ผมได้รับเชิญให้เข้าเรียนในรุ่นที่สิบและจบการศึกษาเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 1948. ต่อมา โรงเรียนนี้ถูกเรียกว่าโรงเรียนว็อชเทาเวอร์ไบเบิลแห่งกิเลียด. หลังจากจบการศึกษา ผมได้รับมอบหมายให้ไปที่โกลด์โคสต์ซึ่งปัจจุบันคือประเทศกานา.
เมื่อผมมาถึงโกลด์โคสต์ ผมได้รับมอบหมายให้ประกาศกับเจ้าหน้าที่รัฐบาลและชาวยุโรป. ช่วงสุดสัปดาห์ ผมทำงานร่วมกับพยานพระยะโฮวาคนอื่นๆในการประกาศเผยแพร่ตามบ้าน. นอกจากนั้น ผมยังไปเยี่ยมเขตต่างๆที่มีพยานฯกระจัดกระจายกันอยู่และฝึกสอนพวกเขาให้ทำงานประกาศ. ผมยังทำหน้าที่ผู้ดูแลเดินทางในประเทศไอวอรีโคสต์ซึ่งอยู่ใกล้ๆด้วย ปัจจุบันรู้จักกันในชื่อโกตดิวัวร์.
ในช่วงที่เป็นมิชชันนารีในแถบนั้น ผมได้เรียนรู้วิธีใช้ชีวิตแบบคนพื้นเมืองแอฟริกา คือนอนในบ้านดิน กินอาหารโดยใช้มือเปิบ และนั่งยองๆ“ข้างนอก” เพื่อปลดทุกข์เหมือนชาวอิสราเอลในถิ่นทุรกันดาร. (พระบัญญัติ 23:12-14) การทำเช่นนี้ช่วยให้คนอื่นมองมิชชันนารีอย่างเราในแง่ดี. ภรรยาของเจ้าหน้าที่บางคนได้เริ่มศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับเรา. ดังนั้น เมื่อพวก ผู้ต่อต้านหาเรื่องเล่นงานเราและสั่งให้ยกเลิกวีซ่าของเรา พวกผู้หญิงเหล่านี้ช่วยพูดกับสามีจนพวกเขายอมถอนคำสั่ง!
มิชชันนารีหลายคนในแอฟริกาเป็นโรคมาลาเรีย ในที่สุดผมก็เป็นกับเขาด้วย. ผมหนาวสั่นและมีไข้เป็นพักๆจนเพ้อไม่ได้สติ. บางครั้ง ผมต้องเอามือจับคางไว้เพื่อไม่ให้ขากรรไกรล่างสั่น. แม้จะเจอกับความทุกข์ลำบาก แต่ผมก็มีความสุขและเพลิดเพลินกับงานรับใช้ที่นั่น.
ช่วงสี่ปีแรกที่อยู่ในแอฟริกา ผมเขียนจดหมายติดต่อกับอีวา ฮอลล์ควิสต์ ซึ่งผมเคยเจอก่อนออกจากสหรัฐ. ผมได้รู้ว่าเธอกำลังจะจบจากโรงเรียนกิเลียดรุ่นที่ 21 ในวันที่ 19 กรกฎาคม 1953 ที่การประชุมนานาชาติของพยานพระยะโฮวาซึ่งจัดขึ้นที่สนามกีฬาแยงกี นิวยอร์ก. ผมรีบติดต่อกัปตันเรือลำหนึ่งที่จะเดินทางไปสหรัฐโดยขอทำงานบนเรือแลกกับค่าโดยสาร.
หลังจาก 22 วันของการเดินทางในทะเลที่มีคลื่นลมแรงเป็นครั้งคราว ผมก็มาถึงสหรัฐและไปหาอีวาที่สำนักงานใหญ่ของพยานพระยะโฮวาในบรุกลิน. เราขึ้นไปบนดาดฟ้าที่มองลงไปเห็นทิวทัศน์สวยงามของอ่าวนิวยอร์กและเส้นขอบฟ้าไกลสุดสายตา แล้วผมก็ขอเธอแต่งงาน. หลังจากนั้น อีวาก็มารับใช้ที่โกลด์โคสต์ร่วมกับผม.